อุตสาหกรรมท่องเที่ยวถือเป็นแหล่งรายได้สำคัญของหลายประเทศในอาเซียน ทั้งจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ไปจนถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายล้านคน แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้การเดินทางทั่วโลกหยุดชะงัก และกำลังพลิกโฉมการท่องเที่ยวไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศอาเซียนเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากจำนวน 66 ล้านคน ในปี 2009 เป็น 133 ล้านคน ในปี 2019 โดยส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจีน
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- เงื่อนไข ธอส. จัดเงินฝากออมทรัพย์ “เก็บออม” ดอกเบี้ยสูง 1.95%
รายงาน “ASEAN Key Figures 2019” ระบุตัวเลขนักท่องเที่ยวที่ทำการสำรวจว่าในปี 2018 “ประเทศไทย” มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงที่สุดในอาเซียนราว 38.3 ล้านคน รองลงมาเป็น “มาเลเซีย” ที่ 25.8 ล้านคน, สิงคโปร์ 18.5 ล้านคน, อินโดนีเซีย 15.8 ล้านคน และเวียดนามอยู่ที่ 15.5 ล้านคน
แต่หลังการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ตั้งแต่ปลายปี 2019 เป็นต้นมา ได้สร้างความเสียหายรุนแรงให้กับการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะในอาเซียนที่มีเศรษฐกิจอิงอยู่กับภาคการท่องเที่ยวอย่างมหาศาล ซึ่งสมาคมส่งเสริมการท่องเที่ยวภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (PATA) คาดว่า ความเสียหายจากการระบาดของโควิด-19 ต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวในเอเชีย-แปซิฟิกจะสูงถึง 34,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
“ซูซาน เบกเคน” ผู้อำนวยการสถาบันการท่องเที่ยวกริฟฟิธ์ระบุว่า ในช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา จำนวนนักท่องเที่ยวในอาเซียน “ขยายตัวอย่างไม่น่าเชื่อ” เป็นผลจากการส่งเสริมภาครัฐที่ลดข้อจำกัดในการเดินทาง และภาคธุรกิจที่ทำโปรโมชั่นส่งเสริมการท่องเที่ยว รวมถึงตั๋วเครื่องบินราคาถูกที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นด้วย
แต่ยุคหลังโควิด-19 พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจะเปลี่ยนแปลงไป โดยส่วนใหญ่อาจใช้จ่ายน้อยลงและใช้เวลาท่องเที่ยวในระยะสั้นกว่าเดิม ซึ่งประเทศต่าง ๆ ต้องทบทวนนโยบายส่งเสริมภาคการท่องเที่ยวภายในประเทศใหม่ ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาต่อเนื่องหลังจากนี้
ไม่เพียงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจเท่านั้น สถานการณ์โรคระบาดยังจะสร้างความเปลี่ยนแปลงของการท่องเที่ยวอาเซียนในด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากที่ผ่านมาการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวแบบล้นทะลักได้ก่อให้เกิดมลภาวะและทำลายสิ่งแวดล้อมของสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก แต่การหยุดชะงักในช่วงโควิด-19 ส่งผลให้หลายแหล่งท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติเริ่มฟื้นตัว
“จอห์น เปาโล อาร์ ริเวร่า” ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยว ดร.แอนดรูแอลตัน ระบุว่า หน่วยงานต่าง ๆ ควรใช้โอกาสจากสถานการณ์ครั้งนี้ทำความสะอาดและจัดระเบียบแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดรับกับการท่องเที่ยวและรักษาการฟื้นตัวทางธรรมชาติอย่างยั่งยืนด้วย โดยเฉพาะการกำหนดแนวทางการท่องเที่ยวที่เหมาะสม และการออกแบบระบบการจัดการจำนวนนักท่องเที่ยวให้กระทบต่อสภาพแวดล้อมน้อยที่สุด
ก่อนหน้านี้เคยมีกรณีของ “เกาะโบราไกย์” ของฟิลิปปินส์ ที่เคยถูกคำสั่งให้ปิดเพื่อทำความสะอาดและฟื้นฟูครั้งใหญ่ในปี 2018 นาน 6 เดือน และได้เปิดเกาะอีกครั้งพร้อมจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวไม่เกิน 6,000 คน จากเดิม 19,000 คน รวมถึงการสั่งห้ามก่อสร้างที่พักใกล้ชายหาดในระยะ 30 เมตร เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมทางทะเลด้วย
“วิลเลียม นีไมเจอร์” ผู้ก่อตั้งกลุ่มการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน YAANA Ventures แนะนำว่า เทคโนโลยีระบบการจองตั๋วล่วงหน้าผ่านระบบออนไลน์ เพื่อจำกัดผู้เข้าชมในสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ และการส่งเสริมแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่เป็นสิ่งสำคัญที่สามารถช่วยลดความแออัดของนักท่องเที่ยวได้ โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่เสี่ยงต่อการได้รับความเสียหาย
แม้ปัจจุบันยังคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่าสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดลงเมื่อใด และอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะใช้เวลายาวนานแค่ไหน จึงจะสามารถฟื้นตัวกลับมาสู่ระดับเดิมก่อนเกิดการระบาดของไวรัส แต่โจทย์สำคัญสำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังยุคโควิด-19 คือ จะสามารถรักษาสมดุลระหว่างการรักษาสภาพของแหล่งท่องเที่ยวกับความเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังจากนี้ได้อย่างไร