วิเคราะห์ : “มีลุงไม่มีเรา” ขวาง “แลนด์สไลด์” เพื่อไทย หยุด “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ของ พปชร.

กองโฆษก พรรคก้าวไกล พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เจ้าของคำประกาศ “มีลุงไม่มีเรา” ถ่ายเซลฟีกับประชาชนที่มารอฟังการเปิดปราศรัยของพรรคก้าวไกล ที่ จ.ชลบุรี เมื่อ 3 พ.ค.

สัปดาห์สุดท้ายก่อนถึงวันเลือกตั้ง 14 พ.ค. คำประกาศ “มีลุงไม่มีเรา มีเราไม่มีลุง” ของพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ส่งผลกระทบต่อคะแนนนิยมของพรรคคู่แข่งทั้งในฝ่ายเสรีนิยมด้วยกัน และฟากฝั่งอนุรักษนิยม ทำให้แต่ละพรรคต้องวางแผนแก้เกม-หนีกับดักวาทกรรมดังกล่าว

“ประชาชนเลือกขั้วแล้ว แต่ยังไม่รู้จะเลือกใคร” คือสิ่งที่อดีตนักการเมืองผู้มีบทบาทในการร่วมกำหนดยุทธศาสตร์การเมืองของพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เห็นตรงกัน และบอกกับบีบีซีไทยก่อน “นิด้าโพล” เผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนรอบล่าสุดเมื่อ 3 พ.ค.

แม้ตัวเลขของนิด้าโพล แตกต่างจาก “โพลลับ” ที่แกนนำพรรค พท. กำไว้ในมือ แต่พวกเขาไม่ประมาท เพราะยอมรับว่ากระแสเปลี่ยนใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งชาวไทยได้บางส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ

สิ่งที่พลพรรคเพื่อไทยทำทันทีคือการสื่อสารเพื่อหยุดความลังเล ยืนยันไม่จับมือตั้งรัฐบาลร่วมกับทั้งพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) และพรรค พปชร. และปล่อยคำรณรงค์ใหม่ “เลือกเพื่อไทยทั้ง 2 ใบ 3 ป. ไปทันที” เพื่อตอกย้ำคำขวัญ “แลนด์สไลด์” ซึ่งเป็นทั้งแคมเปญหาเสียงหลักและเป้าหมายของพรรคในศึกเลือกตั้งรอบนี้

นอกจากนี้พรรค พท. ยังโหมรณรงค์เลือกเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Voting) ชวนประชาชนเลือกเพื่อไทยให้ชนะขาด-การันตีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลของพรรคที่เรียกตัวเองว่า “ฝ่ายประชาธิปไตย” ทว่าเมื่อกระแสนิยมของพรรค ก.ก. พุ่งสูงขึ้น ไปจนถึงระดับที่ “เปลี่ยนความเชื่อ” ของนักวิชาการและประชาชนบางส่วนว่าพรรคสีส้มก็มีโอกาสเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้เหมือนกัน การรณรงค์ SV จึงไม่ใช่สิ่งที่หวังผลได้ นอกจากนี้ถ้าย้อนดูการเลือกตั้งทั่วไป 2562 และการเลือกตั้งผู้ว่าราชการ กทม. 2565 ก็เคยมีผู้เชิญชวนประชาชนให้โหวตเชิงยุทธศาสตร์มาแล้ว แต่ไม่บรรลุผลในทั้ง 2 ครั้ง

ถึงนาทีนี้ คู่แข่งรายสำคัญที่จะมาแบ่งคะแนน-ขวางแลนด์สไลด์ของพรรค พท. จึงกลายเป็นพรรค ก.ก. อย่างไม่อาจปฏิเสธ

สมศักดิ์

กองโฆษก พรรคเพื่อไทย
สมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคเพื่อไทย อธิบายคณิตศาสตร์การเมืองให้ชาวสงขลาฟัง เมื่อ 4 พ.ค. โดยระบุว่า หากเลือกพรรคที่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกับพรรคที่มี 250 ส.ว. “จะได้ลุงเป็นนายกฯ อีกแน่นอน”

“แยก 2 ลุง” ก่อนกลับมา “ผูกติดกัน”

เมื่อข้ามไปดูฝากฝั่งพรรคอนุรักษนิยม ซึ่งมี 4 พรรคหลัก ประกอบด้วย รทสช., พปชร., พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และพรรคภูมิใจไทย (ภท.) มีฐานเสียงรวมกันราว 16 ล้านเสียง ในจำนวนนี้เป็นฝ่ายอนุรักษนิยมแบบเข้มข้นประมาณ 8.8 ล้านเสียง โดยพิจารณาจากคะแนนมหาชนของ 2 พรรคการเมืองที่ประกาศสนับสนุน พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นนายกฯ สมัยที่ 2 ในการเลือกตั้ง 2562 คือ พปชร. 8.4 ล้านเสียง และพรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช. – ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นพรรครวมพลัง) อีก 4.1 แสนเสียง

การตัดแต้มกันเองของพรรคสีแดงกับพรรคสีส้มในศึกเลือกตั้ง 2566 จึงกลายเป็นคุณแก่ ภท. และ ปชป. ตามข้อวิเคราะห์ของแกนนำพรรค พท. โดยผู้สมัคร ส.ส.เขตของขั้วรัฐบาลเดิม อาจกลายเป็น “ตาอยู่” สอดแทรกเข้ามาได้ใน “พื้นที่เฝ้าระวังของเพื่อไทย” อันหมายถึงเขตที่ผู้สมัครของพรรค พท. เคยชนะหรือแพ้มาด้วยคะแนนไม่ถึง 5% ซึ่งมีอยู่ราว 100 เขตเลือกตั้ง

ส่วนพรรค พปชร. วาทกรรม “มีลุงไม่มีเรา” ที่เข้ายึดกุมความคิดของผู้คน จนกลายเป็นกระแสสูง “ไม่เอาลุง ไม่ว่าลุงคนไหน” ได้ทำให้การเล่นบท “ผู้นำก้าวข้ามความขัดแย้ง” ของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค พปชร. ต้องสะดุด-หยุดลง หลังก่อนหน้านี้ ฝ่ายเสนาธิการทางการเมืองของ พล.อ. ประวิตร ได้เดินยุทธศาสตร์ “แยกลุงป้อมออกจากลุงตู่” ไล่ตั้งแต่ แยกตัวออกจากการร่วมวงรัฐประหาร >> แยกพรรค >> แยกบทบาท แล้วนำเสนอภาพลักษณ์ใหม่ขึ้นมาแทน >> ใช้การพิมพ์-โพสต์ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ มากกว่าการพูดที่มักลงเอยด้วยคำตอบว่า “ไม่รู้ ๆ” ทำให้ “จดหมายเปิดใจของลุงป้อม” มีผู้คนเข้ามากดอ่านหลายล้านคน

ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างกระแสให้แก่แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค พปชร. ด้วยเพราะชาวพลังประชารัฐต่างตระหนักดีว่า “คะแนนของพรรคเกือบทั้งหมดเป็นคะแนนของ พล.อ. ประยุทธ์ ส่วนคะแนนที่เหลืออยู่กับ พล.อ. ประวิตร เป็นคะแนนของ ‘บ้านใหญ่’ เป็นหลัก”

คสช.

EPA
ภาพผู้นำคณะรัฐประหาร 2557 ถูกฉายขึ้นบนจอ ในงานเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยเมื่อ 5 เม.ย.

แต่แล้ว “2 ลุง” ก็ถูกผูกติดกันอย่างแน่นหนาอีกครั้ง ด้วยคำประกาศของพรรค ก.ก. ที่ไปกดดันทางอ้อมให้พรรค พท. ต้องแสดงจุดยืนอย่างเดียวกันในเวลาต่อมา

4 ปัจจัยทำ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” จุดไม่ติด

การเสนอตัวเป็น “ผู้นำก้าวข้ามความขัดแย้ง” ไม่ได้ทำให้คะแนนนิยมของ พล.อ. ประวิตรกระเตื้องขึ้นตามการสำรวจของโพลสำนักต่าง ๆ ในรอบ 3 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งหัวหน้าพรรค พปชร. ไม่มีชื่อติดอันดับต้น ๆ บุคคลที่ประชาชนสนับสนุนให้เป็นนายกฯ

ทีมยุทธศาสตร์เลือกตั้ง พปชร. ผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยชื่อ วิเคราะห์กับบีบีซีไทยว่า สาเหตุที่แคมเปญ “ก้าวข้ามความขัดแย้ง” ยังจุดไม่ติด เกิดจาก 4 ปัจจัยหลัก

หนึ่ง ข้อเสนอของพรรค พปชร. ถูกกดทับ-ตอบโต้ด้วยวาทกรรม “มีลุงไม่มีเรา” ของพรรค ก.ก. ทำให้ “ลุงป้อม” ไม่อยู่ในฐานะคนกลางอีกต่อไป

สอง สังคมไม่รู้-ไม่เห็น “โรดแมปก้าวข้ามความขัดแย้ง” เนื่องจาก พล.อ. ประวิตร งำประกาย-อุบไต๋เอาไว้ โดยบอกเพียงว่า “ก็ลองเลือกผมดูแล้วกัน ก็จะได้เห็นว่าผมทำอย่างไรให้ประชาชนได้อยู่รวมกันอย่างสันติ”

สาม บรรดาลูกพรรค พปชร. ที่ถูกขนานนามว่า “ตัวตึง” ทั้งหลาย แสดงท่าที “ขัดแย้ง-แบ่งขั้ว” อยู่เนือง ๆ ไม่ว่าบนเวทีดีเบต หรือในวงให้สัมภาษณ์/แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการสื่อสารที่ทำลายนโยบายหลักของตัวเอง และไม่ช่วยให้ พปชร. ได้คะแนนนิยมเพิ่มเติม

สี่ สังคมมีประสบการณ์ไม่ค่อยดีกับการเสนอตัวเป็นผู้คลี่คลายความขัดแย้งของนักการเมืองในอดีต ไม่ว่าจะเป็น “โซ่ข้อกลาง” หรือ “พรรคทางเลือกที่ 3” ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ

ลุงป้อม

กองโฆษก พรรคพลังประชารัฐ
เลขาธิการ พปชร. ระบุว่า พปชร. จะก้าวข้ามความขัดแย้งซึ่งเป็นตัวบ่อนทำลายและขวางการพัฒนาประเทศ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงเป็น “หัวใจของการพัฒนาประเทศ” ในระหว่างเปิดปราศรัยที่ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ 29 เม.ย.

ล่าสุด สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. ตั้งข้อสังเกตในระหว่างให้สัมภาษณ์พิเศษบีบีซีไทยถึงบทบาทผู้นำก้าวข้ามความขัดแย้งว่า “เพ้อ ๆ ไปหน่อย” พร้อมตั้งคำถามว่า “ไอ้คนที่อาศัยว่าจะเป็นคนกลาง น่าไว้ใจหรือเปล่า”

มีรายงานว่า ในระหว่างการประชุมแกนนำพรรค พปชร. เมื่อ 2 พ.ค. ฝ่าย เสธ.การเมืองของ พล.อ. ประวิตร เสนอให้เขาเปิดเผยรายละเอียด “โรดแมปก้าวข้ามความขัดแย้ง” ต่อสาธารณะในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันเลือกตั้ง เพื่อยืนยันในบทบาท “ไม่ขัดแย้ง-พร้อมปรองดอง” โดยเชื่อว่าจะสามารถดึงคะแนนเสียงจากฝ่ายอนุรักษนิยมอ่อน ๆ ที่ยังเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจได้ แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง

“แกนนำพรรคบางส่วนกังวลว่าระยะเวลามันกระชั้นชิดเกินไป หากสื่อสารแล้วสังคมไม่เข้าใจ กระแสอาจตีกลับ หรืออาจต้องมาตามอธิบาย ตามแก้ไข แล้วทำให้เสียสมาธิในการพูดถึงนโยบายอื่น ๆ” แหล่งข่าวจาก พปชร. กล่าว

ข้อสรุปที่ผู้นำและแกนนำพรรค พปชร. เห็นตรงกันคือ การสื่อสารด้วยข้อความที่ว่า “การก้าวข้ามความขัดแย้งเป็น ‘นโยบายเหนือนโยบาย’” หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไหน หรือพรรคการเมืองไหนมาเป็นรัฐบาล ก็ไม่สามารถขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างเต็มที่ ซึ่งบรรดาแกนนำพรรค พปชร. ที่ไปขึ้นเวทีดีเบตในไม่กี่วันที่ผ่านมา อาทิ อุตตม สาวนายน ประธานคณะจัดทำนโยบายพรรค พปชร และ ไพบูลย์ นิติตะวัน รองหัวหน้าพรรค พปชร. ก็เริ่มสื่อสารคำดังกล่าวแล้ว

โรดแมปทีม “ลุงป้อม” ใน จม. ที่ไม่ได้เผยแพร่

สัญญา สถิรบุตร ที่ปรึกษาส่วนตัวหัวหน้าพรรค พปชร. กล่าวยอมรับกับบีบีซีไทยว่า ได้จัดเตรียมข้อมูลและแผนการสื่อสารโรดแมปก้าวข้ามความขัดแย้งเอาไว้ 6 ตอน แต่จังหวะเวลาไม่เอื้ออำนวยนัก เพราะ “เป็นเรื่องใหญ่มาก การอธิบายอาจต้องใช้เวลา” และ “คนในพรรคบางส่วนอาจไม่สบายใจ”

สัญญา เป็นหนึ่งในทีมสื่อสารความคิดการเมืองของหัวหน้าพรรค พปชร. ผ่านแฟนเพจ “พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ซึ่งเป็นมือยกร่าง “จดหมายเปิดใจลุงป้อม” มาแล้วนับ 10 ฉบับ

สำหรับเนื้อหาในจดหมายที่ไม่ได้เผยแพร่ เป็นการชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการก้าวข้ามความขัดแย้ง ด้วยการ “คืนระบบการบริหารที่มีประสิทธิภาพให้ระบอบประชาธิปไตย” ทำให้ 3 อำนาจอธิปไตย – นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ – ทำงานได้อย่างเต็มที่และไม่ขัดแย้งกัน โดยไล่เรียงสภาพปัญหาของอำนาจ 3 ฝ่าย สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้

  • ฝ่ายนิติบัญญัติ “หลงหน้าที่” : ส.ส. ต้องเบี่ยงเบนบทบาทฝ่ายนิติบัญญัติ ไปเป็นกลไกของระบบอุปถัมภ์ในรูป “บ้านใหญ่” หรือ “ธุรกิจการเมือง” เพื่อหาทุนมาสร้างบารมี รักษาคะแนนนิยมจากประชาชน เพราะต้องทำหน้าที่แทนกลไกราชการที่ล้มเหลวในภารกิจบำบัดทุกข์ บำรุงสุขให้ประชาชน แทนที่จะทุ่มเทกับหน้าที่พื้นฐานคือ การตราและแก้ไขกฎหมายให้ทันสมัยเหมาะสมกับความเปลี่ยนแปลงของสังคม
  • อำนาจฝ่ายบริหาร “บิดเบี้ยว” : เมื่อฝ่ายนิติบัญญัติหลงทิศ ทำให้ฝ่ายบริหารไม่มีเครื่องมือทางกฎหมายที่ดีพอในการบริหารประเทศสู่ความสำเร็จ ซ้ำกฎระเบียบที่เน้นตรวจสอบเพื่อแก้ปัญหาความผิดพลาด จนขาดความคล่องตัวในการตัดสินใจแก้ปัญหาให้ประชาชน ยังส่งเสริมระบบอุปถัมภ์เพื่อรักษาอำนาจ และวัฒนธรรมสอพลอเพื่อความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
  • อำนาจฝ่ายตุลาการ “ในกรอบจำกัด” : การทำหน้าที่ของฝ่ายตุลาการถูกจำกัดด้วยกฎหมายที่ล้าหลัง และถูกผู้บริหารขยาย “องค์กรผู้ตัดสินถูกผิด” ออกนอกศาลสถิตยุติธรรม เช่น องค์กรอิสระ เพื่อความคล่องตัวในการวินิจฉัยตัดสินข้อพิพาทด้วย “ทัศนคติส่วนตัว” หวังประคองการบริหารจัดการประเทศให้เรียบร้อย แทนที่จะยึดหลักนิติธรรมตามองค์ประกอบของกฎหมาย
สัญญา

BBC Thai
สัญญา สถิรบุตร เข้ามาเป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พปชร. อย่างเป็นทางการตั้งแต่ 11 พ.ย. 2565 โดยเขาเป็น “ต้นร่างจดหมายเปิดใจ” ของ พล.อ. ประวิตร ก่อนส่งให้เจ้าตัวอ่าน-อนุมัติ แล้วนำออกเผยแพร่เป็นฉบับแรกเมื่อ 27 ก.พ. 2566

วิธีการในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ตามข้อเสนอของที่ปรึกษาส่วนตัวหัวหน้าพรรค พปชร. จึงอยู่ที่ “2 รัฐ” คือ รัฐสภา กับ รัฐบาล

รัฐสภาต้องทำงานจริงจัง เพื่อสร้าง/แก้ไขกฎหมายให้ทันสมัย และ “ไม่ใช้เสียงข้างมากเพื่อปกป้องนักการเมืองที่ทุจริต”

ส่วนรัฐบาล ภายใต้การของนายกฯ ต้องหาทางบริหารจัดการกลไกราชการให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จน ส.ส. ไม่ถูกเรียกร้องให้มารับภาระแทน และจะได้ไปทำหน้าที่ที่ควรทำ

หมายเหตุ : ข่าว บีบีซีไทย ที่เผยแพร่ในเว็บไซต์ประชาชาติธุรกิจ เป็นความร่วมมือของสององค์กรข่าว