สมคิด กดดันรัฐบาลเร่งดันลงทุน หาเลขาธิการ EEC ผุดโครงการให้ได้

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
สมคิด จาตุศรีพิทักษ์

สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ กดดันรัฐบาลเร่งลงทุนโครงการขนาดใหญ่ ในพื้นที่อีอีซี ให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ก่อนถูกเวียดนามชิงนักลงทุน ชี้นายกฯ ควรเร่งหาเลขาธิการอีอีซีคนใหม่

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และประธานพรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) กล่าวถึงการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย ยังจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลควรเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ผ่านการเร่งให้เกิดการลงทุนที่เป็นรูปธรรม ในโครงการเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี)

ทั้งนี้ควรมุ่งปักธงโครงการขนาดใหญ่ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ที่รัฐบาลได้มีการเปิดประมูลและให้เอกชนที่เป็นผู้ลงทุนในโครงการ ให้เดินหน้า เพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ชัดเจนว่ารัฐบาลมีความพร้อมที่จะเดินหน้าโครงการเหล่านี้

สำหรับโครงการขนาดใหญ่ในอีอีซี ที่นักลงทุนต่างชาติจับตาความเคลื่อนไหว ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กม. วงเงิน 224,544 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มซีพีชนะการประมูล และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก มีงบลงทุนรวม 2.9 แสนล้าน กลุ่มกิจการร่วมค้าบีบีเอส (BBS Joint Venture) เป็นผู้ชนะการประมูล รวม 2 โครงการ วงเงินรวม 514,544 ล้านบาท

อดีตรองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า โครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซี หากรัฐบาลสามารถผลักดันให้เดินหน้าไปได้เป็นรูปธรรม สักหนึ่งโครงการ ก็จะสามารถสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ และสร้างความสนใจประเทศไทยว่าโครงการอีอีซียังเป็นโครงการที่รัฐบาลให้ความสำคัญ และเป็นโครงการที่จะสร้างการเติบโตให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเวียดนามเป็นประเทศที่เป็นที่ถือว่าเป็นคู่แข่งของประเทศไทยที่น่ากลัวเพราะนักลงทุนต่างชาติจำนวนมากให้ความสนใจเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่เป็นอุตสาหกรรมไฮเทคสมัยใหม่ เช่น อุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งทำให้เวียดนามสามารถต่อยอดไปได้ในอีกหลายอุตสาหกรรม เวียดนามมีความน่าสนใจทั้งในเรื่องอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ในไตรมาสที่ผ่านมาสูงถึง 13% และมีเสถียรภาพทางการเมืองสูงมาก

นายสมคิดกล่าวด้วยว่า นักลงทุนจะเข้าไปลงทุนในประเทศที่มีปัจจัยสำคัญ 2 เรื่อง คืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งเวียดนามมีข้อได้เปรียบไทยในส่วนนี้ จึงต้องทำให้เห็นว่าประเทศไทยมีจุดขาย เขตเศรษฐกิจอีอีซี ก็เป็นนโยบายที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศไทยได้ โดยรัฐบาลต้องแสดงให้เห็นว่าเร่งรัดโครงสร้างพื้นฐานสำคัญในโครงการนี้เดินหน้าให้ได้ตามแผนที่วางไว้

สำหรับการสรรหาเลขาธิการอีอีซีคนใหม่ แทนนายคณิศ แสงสุพรรณ ที่หมดวาระซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ตั้งกรรมการสรรหาโดยมีปลัดกระทรวงการคลังเป็นประธาน แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป ว่าใครได้รับการสรรหาบ้าง นายสมคิดกล่าวว่า เรื่องนี้เป็นอำนาจในการตัดสินใจของนายกรัฐมนตรีในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ที่จะตัดสินใจในขั้นสุดท้าย

“ตำแหน่งเลขาฯ อีอีซี ถือเป็นตำแหน่งที่สำคัญเพราะจะมีผลต่อความเชื่อมมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในโครงการอีอีซี จึงขอให้นายกรัฐมนตรีเลือกบุคคลที่เหมาะสมสามารถทำงานได้ เป็นที่ไว้ใจได้” นายสมคิดกล่าว