หุ้นเทคฯคืนสังเวียนราคาพุ่ง ยักษ์โซเชียลมีเดียโกย “เม็ดเงินโฆษณาทะลัก”

ดัชนีหุ้น Nasdaq ปรับขึ้นเกือบ 6% ตั้งแต่เดือน มิ.ย. บรรดายักษ์เทคคอมพะนีราคาหุ้นพุ่ง หลังคลายกังวลบอนด์ยีลด์สหรัฐ-เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้น ยักษ์โซเชียลมีเดีย “Google-Facebook” ดูดเม็ดเงินค่าโฆษณาทะลัก

วันที่ 3 กรกฎาคม 2564 นางสาวอภิชญา ไชยฤกษ์ ผู้จัดการ ฝ่ายหลักทรัพย์ต่างประเทศ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า มีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นเติบโตดี หรือหุ้นกลุ่ม Growth อย่างอุตสาหกรรมเทคโนโลยี หลังจากมีการปรับตัวลดลงมาตั้งแต่เดือน ก.พ.เป็นต้นมา จากความกังวลอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(บอนด์ยีลด์) ที่มีการเร่งตัวขึ้นมา สะท้อนถึงเศรษฐกิจสหรัฐกำลังจะฟื้นตัวจากการกระจายวัคซีนและการเปิดเมืองที่มากขึ้น

โดยตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.เป็นต้นมา ตลาดเริ่มคลายความกังวลเรื่องการเร่งตัวของบอนด์ยีลด์สหรัฐไปแล้ว และคลายกังวลเงินเฟ้อที่จะเร่งตัวขึ้น รวมไปถึงนโยบายการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐไปแล้วด้วย ดังนั้นเริ่มเห็นเงินทุน(โฟลว์) มีการหมุนกลุ่มจากหุ้นคุณค่า(Value) ไปสู่หุ้นเติบโตดี(Growth) มากขึ้น

โดยดัชนีหุ้น Nasdaq ที่ประกอบด้วยหุ้นเทคฯ เป็นส่วนใหญ่ปรับขึ้นเกือบ 6% ตั้งแต่เดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนี Dow Jones ที่ประกอบด้วยหุ้นคุณค่า(Value) ทรงตัวในแดนลบประมาณเกือบ 1%

“เราค่อนข้างให้ความสนใจหุ้นเทคฯ ในระยะนี้และเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจไปในระยะยาวด้วย โดยเริ่มเห็นการฟื้นตัวของราคาหุ้น ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.64”

โดยบริษัทที่น่าสนใจและน่าจะเติบโตได้ดีคือ บริษัทเทคฯที่มีแนวโน้มเติบโตไปกับเทรนด์ภาพใหญ่ของโลก และเป็นบริษัทที่จะฟื้นตัวไปกับเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิด-19

โดยเฉพาะบริษัทเทคฯ กลุ่มโซเชียลมีเดีย ยักษ์ใหญ่ทั้ง Google, Facebook, Twitter, Pinterest เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ล้อไปกับเทรนด์การปรับใช้โซเชียลมีเดียในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพื่อการสื่อสารและติดตามข้อมูลข่าวสาร

โดยแพลตฟอร์มใหญ่จะมีด้วยกัน 2 เจ้าคือ Google, Facebook ที่มีจำนวนผู้ใช้งานมหาศาลกว่า 1,000 ล้านรายทั่วโลกต่อวัน ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าโซเชียลมีเดียเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการโฆษณาของเหล่าธุรกิจน้อยใหญ่มากมายทั่วโลก มาทดแทนผ่านการโฆษณาช่องทางโทรทัศน์ในอดีต

“ประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ค่าใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์มีมูลค่าประมาณ 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ในปี 2563 มูลค่าการใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์เกือบ 4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นการเติบโตมากกว่า 50 เท่า”

สะท้อนว่าเหล่าธุรกิจหันมาโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้นผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยปัจจุบันการโฆษณาผ่านช่องทางออนไลน์คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 60% ของการใช้จ่ายด้านโฆษณาทั้งหมด โดยบริษัทที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดโฆษณาออนไลน์อันดับ 1 คือ Google เนื่องจากมีผู้ใช้งานค้นหาข้อมูลต่างๆ มากมายประมาณ 4,000 ล้านครั้งต่อวัน รองลงมาเป็น Facebook ที่มีผู้ใช้งานทั่วโลกประมาณกว่า 4,000 ล้านคน

ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากปี 2563 เป็นปีที่เกิดวิกฤตโควิด-19 ภาพรวมการใช้จ่ายโฆษณาโตชะลอลงจากปี 2562 เนื่องจากธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นชะลอการใช้จ่ายด้านการโฆษณาออกไป โดยรายได้ของบริษัทโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่หดตัวเฉพาะต้นปี 2563 เท่านั้น แต่ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 เห็นค่าใช้จ่ายในการโฆษณาออนไลน์มีการฟื้นตัวขึ้นต่อเนื่อง

สาเหตุจากหลายบริษัทเริ่มกลับมาเปิดดำเนินการได้ปกติ หลังจากหลายประเทศคลายล็อกดาวน์ และผู้คนออกมาใช้ชีวิตตามปกติ ทำให้รายได้บริษัทโซเชียลมีเดีย อาทิ Google, Facebook ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ได้

ขณะที่ในฝั่งประเทศจีน ยักษ์เทคโนโลยีอย่าง Tencent เจ้าของแอปพลิเคชั่น Wechat เปรียบเทียบง่าย ๆ คือเราใช้ไลน์และใช้เฟซบุ๊กนั่นเอง ซึ่งแอป Wechat เป็น Super-App ทำได้ทั้งสื่อสารกับเพื่อน การติดตามข่าว การโพสต์ข้อความสั่งซื้อสินค้า ซื้ออาหาร ชำระเงินออนไลน์ โดยคนจีนประมาณ 1.4 พันล้านคนใช้กันอยู่ นอกจากนี้ยังมีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต่าง ๆ อาทิ alibaba เจ้าของ LAZADA ซึ่งเป็นหนึ่งเป้าหมายของธุรกิจที่จะเลือกไปซื้อโฆษณาออนไลน์ผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้ หรือแพลตฟอร์มสั่งอาหารของจีนอย่าง Meituan Dianping

โดยจุดเด่นของบริษัทเทคฯจีนคือ เขามีผู้ใช้งานมหาศาล ทำให้บริษัทชื่อดังระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Coca Cola บริษัทเครื่องสำอาง estee lauder, L’Oreal, Maybelline NewYork เข้ามาโฆษณาผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้กันเช่นกันเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า

โดยแนวโน้มการเติบโตของการใช้จ่ายด้านโฆษณาออนไลน์ ดังนี้