ศบค.เคาะด่วน จัดงบฯ 500 ล้านบาท ซื้อยาโมลนูพิราเวียร์

ศบค.เห็นชอบจัดงบประมาณ จัดซื้อยาต้านโควิด โมลนูพิราเวียร์ 500 ล้านบาท

วันที่ 14 ตุลาคม 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุม ศบค. ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้พิจารณาวาระแผนการจัดหายาโมลนูพิราเวียร์ ตามข้อเสนอของศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กรณีติดเชื้อโควิด-19 โดยมีการเสนอขออนุมัติการใช้งบประมาณ ในส่วนงบฯกลาง วงเงิน 500 ล้านบาท ในการจัดซื้อ

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมา สธ.ได้พูดคุยหารือเรื่องยาต้านโควิดมาโดยตลอด โดยกล่าวถึงไทม์ไลน์สำหรับการนำเข้าโมลนูพิราเวียร์ในไทย ได้หารือรายละเอียดกับทางเมอร์ค ประเทศไทย ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และมีการจัดทำร่างสัญญา ซื้อขายจำนวน 40 หน้า เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงให้เมอร์คผ่านการขึ้นทะเบียนกับ FDA อเมริกา ในราวเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน

ก่อนที่จะมาขึ้นทะเบียนในไทยผ่านได้ราวช่วงพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งคาดว่าในไทยจะได้รับยาโมลนูพิราเวียร์มาใช้ต้านไวรัสได้เร็วสุด ในเดือนธันวาคมปีนี้ หรือช้าสุดช่วงเดือนมกราคม 2565

สำหรับยาต้านโควิด “โมลนูพิราเวียร์” โดยเมอร์ค (Merck) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีฤทธิ์ยับยั้งการจำลองตัวเองของเชื้อโควิด โดยจากการวิจัยแบบสุ่มระยะที่ 3 ในรูปแบบ MOVe-OUT-Trial ในกลุ่มผู้ป่วยอาการเล็กน้อย-ปานกลาง มีปัจจัยเสี่ยง อาทิ โรคประจำตัว หรือกลุ่มสูงอายุ ซึ่งจะให้ยา 5 วันแรกตั้งแต่เริ่มมีอาการ พบว่าสามารถยับยั้งอาการรุนแรง หรือการเข้า รพ. จากโควิดสายพันธุ์ปัจจุบันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเดลต้า แกมม่า ตลอดจนสายพันธุ์เฝ้าระวังอย่างมิวได้กว่า 50%

“โมลนูพิราเวียร์จากการทดลองในคนอาการเล็กน้อย-ปานกลาง พบว่าได้ผลเป็นอย่างดี ส่วนการศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยโควิดอาการหนักพบว่าไม่ได้ผล จึงได้พับแผนไปก่อนหน้านี้ และศึกษาเพียงในกลุ่มอาการเล็กน้อยถึงปานกลางเท่านั้น”

ทั้งนี้ เมอร์ค บริษัทผู้ผลิตได้ดำเนินการยื่นขอการขึ้นทะเบียนในภาวะฉุกเฉินกับองค์การอาหารและยา หรือ FDA สหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากได้รับการอนุมัติโมลนูพิราเวียร์จะกลายเป็นยาต้านโควิดชนิดเม็ดตัวแรกของโลกที่ได้รับการรับรองจากอเมริกา ทั้งนี้ ทางเมอร์คระบุว่า ตั้งเป้าจะผลิตยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับ 10 ล้านคน ภายในปี 2564 นี้

สำหรับราคาในแต่ละประเทศจะไม่เท่ากัน ไทยเป็นประเทศรายได้ปานกลางจะได้ราคาถูกกว่าประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีรายได้สูง ขณะเดียวกันไทยก็อาจจะซื้อแพงกว่าประเทศที่รายได้ต่ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ถือเป็นนโยบายของบริษัทที่ต้องการกระจายยาต้านโควิดไปในหลาย ๆ พื้นที่อย่างเป็นธรรม