SHARGE โชว์โรดแมป Scale Up EV Future ตอบโจทย์เป้ารถ EV ทุกประเภท 1.05 ล้านคันในปี 2568 เดินหน้าเพิ่มจำนวนพันธมิตร ขยายตลาดสถานีชาร์จและหัวชาร์จ EV หวังมีสถานีชาร์จแตะ 600 แห่ง 2,400 หัวชาร์จภายในปี 2565 พร้อมกวาดยอดขายสะสม 5 ปี 3,000 ล้านบาท
วันที่ 24 มีนาคม 2565 นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) ผู้นำด้านการสร้าง EV Charging Ecosystem เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน เปิดเผยว่า สถานการณ์การใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ทั่วโลก มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมจำนวนรถ EV ทั่วโลกระหว่างปี 2553-2563 มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ราว 76% ต่อปี สู่จำนวน 10.2 ล้านคัน
- “มะพร้าว” ราคาพุ่งเป็นประวัติการณ์ ลูกเดียว 65-80 บาท เกิดอะไรขึ้น?
- พระราชประวัติ เจ้าฟ้าทีปังกรรัศมีโชติฯ วันคล้ายวันประสูติ 29 เมษายน
- กองทุนประกัน อนุมัติจ่ายเงิน 7.29 พันล้าน มี.ค.-เม.ย. รับรองมูลหนี้เพิ่ม 560 ล้าน
และยังคงมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากประเทศมหาอำนาจทั่วโลกต่างออกมาตรการสนับสนุนและนโยบายที่ให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ผลิตรถ EV อย่างต่อเนื่อง เช่น จีนที่มีการใช้รถ EV มากกว่า 4.5 ล้านคัน จากการยกเว้นภาษีและสนับสนุนเงินทุนแก่ผู้ผลิต ขณะที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญของ EV อย่างสถานีชาร์จและจำนวนหัวชาร์จ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลกเช่นเดียวกัน เฉพาะในเยอรมนี คาดว่าจะมีสถานีชาร์จสาธารณะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 จุดในปี 2568 และทะลุ 700,000 จุดในปี 2573
ขณะที่ประเทศไทยเอง มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนให้เกิดการใช้งานรถ EV อย่างเป็นรูปธรรม โดยคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ (บอร์ด EV) ตั้งเป้าให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าทุกประเภท รวมกว่า 1.05 ล้านคันภายในปี 2568
จากเป้าหมายดังกล่าว บริษัทคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะมีความต้องการชาร์จพลังงาน EV ไม่น้อยกว่า 1 ล้านหน่วยต่อสัปดาห์ในปี 2568 และมีความจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้าน EV รวมถึงสถานีชาร์จ EV ที่เพียงพอ บริษัทจึงจะเดินหน้าแผน Scale Up EV Future พร้อม 4 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ Stronger Ecosystem – More Station – New Solution – More Innovation เพื่อช่วยพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสถานีชาร์จ EV ให้เพียงพอต่อความต้องการของประเทศไทยในอนาคต และสอดคล้องกับเมกะเทรนด์การเติบโตของ EV ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
เริ่มจากด้าน Stronger Ecosystem เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ ๆ ในระบบนิเวศการชาร์จ EV ทั้งกลุ่มผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย กลุ่มผู้พัฒนาศูนย์การค้า กลุ่มผู้พัฒนาอาคารสำนักงาน กลุ่มผู้ประกอบการโรงแรม กลุ่มผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการนิติบุคคลโครงการ กลุ่มผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกพลังงาน กลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์ สถานศึกษา โรงพยาบาล
ไปจนถึงกลุ่มผู้ประกอบการด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ เพื่อร่วมกันส่งเสริมให้มีสถานีชาร์จรถ EV รองรับความต้องการของผู้ใช้ในอนาคตอย่างครบวงจร คาดว่าจะมีจำนวนพันธมิตรเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 27 รายภายในปี 2565 และเพิ่มเป็น 50 รายภายในปี 2568
“การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรในทุกเซ็กเตอร์ นับเป็นเรื่องจำเป็นและจะเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยมีจำนวนสถานีชาร์จและหัวชาร์จที่เพียงพอรองรับความต้องการมหาศาลในอนาคต SHARGE จึงเปิดกว้างที่จะเข้าไปพูดคุยกับผู้ประกอบการในหลากหลายเซ็กเตอร์ ตลอดจนผู้ใช้งานทั่วไปที่ต้องการมี EV Charger อยู่ในที่พักอาศัยของตัวเอง เพื่อร่วม Scale Up EV Future ขับเคลื่อนประเทศไทยให้มีความพร้อมด้าน EV ทัดเทียมระดับโลก ร่วมสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้ประเทศไทยมีมลภาวะลดลงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น” นายพีระภัทรกล่าว
ด้าน More Station เพิ่มจำนวนสถานีชาร์จและหัวชาร์จทั้งแบบกระแสสลับ (AC) ตามที่อยู่อาศัย สู่การบริการครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ และแบบกระแสตรง (DC) ที่เป็น Super Fast Charge ตามจุดพักรถและสถานที่สำคัญต่าง ๆ กระจายไปตามจุดพักรถในทั้ง 4 ภูมิภาค นำร่องในปี 2565 ด้วยจำนวนสถานีชาร์จทุกประเภทสะสมไม่น้อยกว่า 600 สถานี และจำนวนหัวชาร์จ 2,000-2,400 หัวชาร์จ ตอกย้ำและยืนหยัดการเติบโตในฐานะผู้นำอันดับ 1 ของตลาด EV Charging Station ในที่อยู่อาศัย
ขณะเดียวกัน ในปีนี้จะมีการสร้างสถานีชาร์จแลนด์มาร์กที่ใหญ่ที่สุดในรัศมี 200 กิโลเมตรจากกรุงเทพฯ มีจุดเด่นสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ 1.มีจำนวนหัวชาร์จมากกว่าสถานีปกติ 2.เป็นสถานีที่มีหัวชาร์จ DC แบบ Super Fast Charge ที่จ่ายไฟได้เร็วที่สุดในประเทศไทย เพื่อให้ไลฟ์สไตล์การชาร์จไฟฟ้าใช้เวลาใกล้เคียงกับการเติมพลังงานแบบดั้งเดิม โดยไม่ต้องเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค และ 3.มีอาหารและบริการที่ตอบโจทย์ทั้งคนและรถยนต์
ด้าน New Solution จากเดิมบริษัทมุ่งเน้นเจาะตลาด 3 กลุ่ม โดยแบ่งตามไลฟ์สไตล์การชาร์จของผู้ใช้งานทั่วไป (Lifestyle Charging Ecosystem) อันประกอบด้วย 1.NIGHT กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้านในช่วงกลางคืน 2.DAY กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จระหว่างวัน เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น ศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ อาคารสำนักงาน 3.ON-THE-GO กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างเดินทางระหว่างจังหวัด หรือสถานที่อื่น ๆ
แต่หลังจากนี้ บริษัทจะขยายขอบเขตการให้บริการให้ครอบคลุมรถยนต์และยานยนต์ทุกประเภท ผ่านการเจาะตลาดกลุ่มผู้มียานพาหนะให้บริการจำนวนมาก (Fleet Operator) เช่น บริษัทโลจิสติกส์ บริษัทที่ให้บริการด้านการขนส่งคนและสิ่งของ เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีความต้องการลดต้นทุนด้านพลังงานเชื้อเพลิงจากการใช้พลังงานเดินทางมหาศาลทุกวัน
หลายบริษัทเริ่มมีวิสัยทัศน์ชัดเจนที่ต้องการปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานสะอาด บริษัทจะเดินหน้าเจรจากับกลุ่ม Fleet Operator อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 5 รายในปีนี้ เพื่อร่วมเปลี่ยนผ่านเครื่องยนต์สันดาปสู่เครื่องยนต์ไฟฟ้า และเป็นรากฐานสร้างรายได้ประจำระยะยาว (Recurring Income) คาดว่าจะเปิดเผยความร่วมมือได้อย่างน้อย 1 ราย ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมวงการ EV เร็ว ๆ นี้
สำหรับด้าน More Innovation บริษัทได้พัฒนาแอปพลิเคชั่น SHARGE โดยมีหลากหลายฟีเจอร์ใหม่ที่พร้อมตอบโจทย์ผู้ใช้บริการรถ EV ที่ต้องการเข้ามาใช้บริการสถานีชาร์จ EV เช่น Queuing System ระบบที่รองรับความต้องการการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น ทำให้สามารถจองการใช้งานล่วงหน้าได้ Admin Dashboard อำนวยความสะดวกให้เจ้าของสถานีสามารถดูสถานการณ์ดำเนินงานของสถานีนั้น ๆ ได้แบบ Realtime และ Privilege ตอบโจทย์องค์กรที่ต้องการโซลูชั่นสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าแบบฟลีต มีให้พร้อมดาวน์โหลดทั้งใน App Store และ Play Store
นายพีระภัทรกล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้นำอันดับ 1 ในการให้บริการ EV Charger ในโครงการที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว เมื่อเดินหน้าแผน Scale Up EV Ecosystem บริษัทจึงตั้งเป้าขึ้นเป็นผู้นำการให้บริการ EV Charging Solution ครบวงจร มียอดขายสะสม 5 ปีนับจากนี้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท และเป็นส่วนสำคัญที่ขับเคลื่อน EV Charging Ecosystem ของไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน ช่วยให้คนไทยสามารถเข้าถึงพลังงานในราคาที่ถูกลง ลดมลภาวะทางอากาศ ร่วมสร้างอนาคตที่สะอาดขึ้น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นให้แก่คนไทย