เกาะติด “การเงินเพื่อความยั่งยืน” ท่ามกลางแรงหนุน “กฎกติกา” ทั่วโลก

การเงินเพื่อความยั่งยืน
คอลัมน์ : นอกรอบ
ผู้เขียน : ศูนย์วิจัยกสิกรไทย

มองไปข้างหน้าในปี 2567 สถานการณ์การเงินเพื่อความยั่งยืนทั่วโลกยังมีแนวโน้มเติบโตในอัตราค่อนข้างสูงถึงประมาณ 10% YOY โดยมีแรงหนุนจากการเพิ่มเติมกฎกติกาทั่วโลกรวมถึงไทย เช่น กฎหมาย Green Taxonomy ต่าง ๆ

แม้ว่าปี 2566 ที่ผ่านมา การออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน (ตราสารหนี้และเงินกู้) ทั่วโลกจะชะลอตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ยังคงอยู่ที่จำนวน 1.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม จะเป็น Green Bonds and Green Loans เป็นหลัก (57%)

แต่สำหรับประเทศไทย ภาพจะแตกต่างออกไป โดยผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยม ได้แก่ Sustainability Bonds (59%) มีมูลค่าทั้งหมด 4.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปี 2567 คาดว่า Sustainability Bonds และ Sustainability-linked Loans จะมีบทบาทเพิ่มขึ้น และมูลค่าการระดมทุนในผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน คาดว่าจะมีจำนวนสูงกว่าปี 2566 เนื่องจากมีแรงสนับสนุนทั้งจากภาครัฐ Green Taxonomy ของไทย ความต้องการลงทุนที่เพิ่มขึ้นจาก Green Funds ต่าง ๆ รวมถึงความตื่นตัวของบริษัทเอกชนไทยที่เพิ่มขึ้น

ปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “การเงินเพื่อความยั่งยืน” (Sustainable Finance) มีบทบาทเพิ่มขึ้นทั่วโลก เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามองค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals : SDGs) ตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) โดยมุ่งหวังว่าภาคการเงินจะเข้ามาเป็นเครื่องยนต์และกลไกสำคัญในการระดมทุนเพื่อให้โลกลดการใช้ก๊าซเรือนกระจก

โดยมูลค่าการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน (ตราสารหนี้และเงินกู้) ทั่วโลกในปี 2566 มีมูลค่า 1.33 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ต่ำกว่าปีก่อนหน้า 15% โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็นการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในกลุ่ม Green (เพื่อวัตถุประสงค์ด้านสิ่งแวดล้อม)

ทำให้ปี 2566 ถือว่าการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน มีมูลค่าลดลงมาเป็นปีที่สอง จากปี 2564 ที่มีการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนสูงสุด 1.81 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2565 ก็ปรับลดลงเหลือ 1.55 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

และที่น่าสนใจคือ ปีที่ผ่านมา Green Bonds และ Green Loans ในตลาดโลกมีอัตราส่วนที่สูงถึง 57% มูลค่า 0.759 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา ได้แก่ กลุ่ม Sustainability-linked Bonds and Loans (ไม่ระบุวัตถุประสงค์) ซึ่งสัดส่วนลดลงเหลือเพียง 21% (มูลค่า 0.278 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ จากในปี 2565 สัดส่วนอยู่ที่ 35%

การเพิ่มสัดส่วนของ Green Bonds and Loans สวนทางกับสัดส่วน Sustainability-linked Bonds and Loans เนื่องจากในกรณีของต่างประเทศ มีกฎระเบียบที่เข้มข้นขึ้น ประกอบกับมีกระแสความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมฟอกเขียว (Green Washing) จากฝั่งนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันด้าน Green Bonds จะมีกรอบกฎหมายและข้อบังคับตราสารหนี้เพื่อให้เข้าข่ายความเป็น “Green” ที่เข้มงวดกว่า Sustainability-linked Bonds ที่มีวัตถุประสงค์ค่อนข้างกว้าง ทำให้ตรวจสอบยากกว่า

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า จะเห็นผลิตภัณฑ์ประเภท Green ในสัดส่วนสูงขึ้นในตลาดโลก ท่ามกลางความเข้มข้นของกฎกติกา รวมถึงความระมัดระวังและการตรวจสอบของนักลงทุนที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการ Green Washing และสำหรับในช่วงปี 2567 การออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนทั่วโลก น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง หรือเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราว 10%

สำหรับประเทศไทย แม้มูลค่าการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในปี 2566 ชะลอตัวลงจากปีก่อนหน้า 11% มาที่ระดับ 6.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ (2.5 แสนล้านบาท) แต่ก็ยังถือว่าเป็นปริมาณการระดมทุนที่ยังสูงกว่าปี 2564 และยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นจากอดีต เพราะได้แรงหนุนจากการออกตราสารหนี้ Sustainability Bonds ของภาครัฐบาล ที่ใช้ในโครงการที่ส่งเสริมสังคมและฟื้นฟูเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตเพิ่มเติมคือ Sustainability Bonds ในไทย จะมีสัดส่วนการออกสูงที่สุด (59%) เพราะครอบคลุมตราสารหนี้จากกิจกรรมหลายประเภท เช่น Green และ Social Bonds เป็นต้น ทำให้ได้รับความนิยมมากกว่าผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนในประเภท Sustainability-linked (24%) และ Green (15%)

ในกรณีของไทย ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมองว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Sustainability Bonds และ Sustainability-linked Bonds and Loans น่าจะมีบทบาทต่อไป เนื่องจากจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นมากกว่าผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น ๆ และรวมถึงการสนับสนุนของภาครัฐในการออกตราสารหนี้กลุ่ม Sustainability Bonds อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งไทยยังไม่เผชิญแรงกดดันจากปัญหา Green Washing และกฎเกณฑ์ทางการมากเท่าในตลาดโลก

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การออก Sustainability และ Sustainability-linked Bonds น่าจะกลับมาสูงกว่าปี 2566 โดยมีปัจจัยหนุนจาก 1) ภาครัฐ ซึ่งเป็นผู้ออกตราสารหนี้หลักในกลุ่มนี้ และยังคงต้องสนับสนุนเศรษฐกิจ และตลาดการเงินเพื่อความยั่งยืน ผ่านการออกตราสารหนี้ Sustainability Bonds อย่างต่อเนื่อง 2) Thailand Taxonomy ระยะที่ 1 ทำให้ธุรกิจอาจพิจารณาระดมทุนผ่านการออกตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืนมากขึ้น ถึงแม้อาจจะยังขาดความรู้การ Verify และความเข้าใจกระบวนการอย่างเต็มที่ และ 3) มีกองทุน Green Fund ต่าง ๆ เช่น Thailand ESG Fund ออกกองทุน 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการลงทุนในผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืนเพิ่มเติมในปี 2567

ทั้งนี้ปี 2566 ภาพรวมตลาดโลกในการออกผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน มาจาก 3 ภาคอุตสาหกรรมหลักเช่นเดียวกับในปี 2564-2565 โดย “ภาครัฐบาล” ยังคงเป็นผู้ออกหลักในตลาด (34%) มูลค่า 4.51 แสนล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมาเป็น “ภาคการเงิน” (25%) และสาธารณูปโภค (10%) ตามลำดับ ขณะที่ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ก็มีทิศทางเดียวกันกับตลาดโลก โดยมีภาคการเงินเป็นผู้นำในการออกผลิตภัณฑ์ด้วยมูลค่า 1.42 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งสัดส่วนจากประเทศจีนถึง 50%

สำหรับประเทศไทย ภาคส่วนที่สนับสนุนการขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์การเงินเพื่อความยั่งยืน ยังคงเป็นภาครัฐบาลในสัดส่วน 59% รองลงมาเป็นภาคสาธารณูปโภค 13% และภาคการเงิน 8% ตามลำดับ