ชั้น 5 ประชาชาติ กฤษณา ไพฑูรย์
เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสพบปะนักธุรกิจ และประธานหอการค้าหลายจังหวัด ในงานประชุมหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 38 แต่ละจังหวัดล้วนมีมิติ และบริบทของปัญหาภายในจังหวัด ในแต่ละภาคแตกต่างกัน
หลายจังหวัดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวของภาคธุรกิจ เมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงไตรมาส 4 เริ่มปรับตัวดีขึ้น และคิดว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีหน้า ทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจภายในจังหวัดที่ผ่านมาไม่ได้พึ่งพารายได้จากต่างชาติ
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
พร้อมชื่นชม “โครงการคนละครึ่ง” ซึ่งเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลว่า ได้ผลในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ตรงเป้ามากกว่าโครงการอื่น ๆ ที่ผ่านมา
เพราะเม็ดเงินกระจายลงไปยังประชาชนทั่วไปได้อย่างดี “แม่ค้า หาบเร่ แผงลอย” ต่างได้รับอานิสงส์กันถ้วนหน้า
ดังนั้น ทุกจังหวัดจึงประสานเสียงให้รัฐบาลดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง” ต่อ ผ่านเป็น 1 ในอีกหลายปัญหาที่บรรจุในสมุดปกขาวที่ยื่นถึงรัฐบาล
แต่บางจังหวัดเศรษฐกิจที่เริ่มโงหัวขึ้น แค่ทำให้ตัวเลขติดลบน้อยลงเท่านั้น หรือพูดง่าย ๆ ว่า เดิมเคยติดลบ 90% วันนี้ติดลบเพียง 60-70% หากเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ที่ถือเป็นภาวะดิ่งตกต่ำสุด ๆ ของภาคธุรกิจ
โดยเฉพาะจังหวัดที่พึ่งพารายได้หลักจากนักท่องเที่ยวต่างชาติบอกว่า โครงการคนละครึ่งอาจช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจรากหญ้า
แต่สิ่งที่หลายคนหนักใจมากตอนนี้ คือ ภาวะขาดทุน ภาระหนี้สินของผู้ประกอบการรายกลาง และรายย่อย หรือ SMEs ที่พอกพูนขึ้น
ขณะที่โครงการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยของภาครัฐที่ขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ ให้ลูกค้าพักการจ่ายหนี้ ครบกำหนด 6 เดือนไปแล้วตั้งแต่สิ้นเดือนตุลาคม 2563
ส่งผลให้ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคบริการกำลังจะหมดลม ! ต้องกลับมาแบกรับภาระการจ่ายเงินต้น และดอกเบี้ยแบงก์ต่อ ขณะที่รายรับยังไม่เข้ามา
ที่สำคัญ หลายคนพูดตรงกันว่า หาก SMEs เหล่านี้ “ล้ม” ! โอกาสที่จะ “ฟื้นกลับ” มา ยากเต็มที !
ดังนั้น หลายจังหวัดจึงเรียกร้องตรงกันในการขอพักชำระหนี้ต่อออกไปอีกสักระยะหนึ่ง อาจจะ 3-6 เดือน รอให้ได้ลืมตาอ้าปากได้ก่อน
เพราะขณะนี้ “เงินทุนดอกเบี้ยต่ำ” หรือ soft loan ดอกเบี้ย 2% ที่รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยเหลือนั้น หลายจังหวัดให้ข้อมูลตรงกันว่า SMEs ส่วนใหญ่ “เข้าถึงยาก” มีเพียงส่วนน้อยมากที่ได้รับการช่วยเหลือ
จึงอยากให้รัฐบาลผ่อนคลายกฎเกณฑ์เงื่อนไขการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้ดังกล่าว เพื่อให้ผู้ประกอบการ SMEs ได้มีเงินไปหมุนเวียนธุรกิจบ้าง
มิเช่นนั้น หากธุรกิจ SMEs เหล่านี้ล้มอีกระลอกใหญ่ ! พนักงานที่ทำงานในบริษัทเหล่านั้น รวมถึงพนักงานในธุรกิจเกี่ยวเนื่องตลอดห่วงโซ่ ในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และบริการทั่วประเทศ จะมีโอกาส “ตกงาน” เพิ่มขึ้นในช่วงสิ้นปีนี้อีกจำนวนมาก
ทุกคนยอมรับว่า ตอนนี้กลไกการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศ มาจากเงินลงทุนของภาครัฐ ที่ส่งผ่านเม็ดเงินโดยการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ
ส่วนการลงทุนของภาคเอกชนเริ่มมีให้เห็นบ้าง แต่ยังไม่มากนัก เพราะปัจจัยเรื่องการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ทั่วโลกยังหนักหนาสาหัส จึงชะลอลงทุนอย่างระมัดระวัง
แม้หลายบริษัทในต่างประเทศคิดค้น “วัคซีน” สำเร็จออกมาแล้ว แต่อย่าลืมว่า ความบอบช้ำทางเศรษฐกิจที่หลายประเทศได้รับ ทำให้มีคนว่างงาน เศรษฐกิจล้มซวนเซ เช่นเดียวกับสถานการณ์ในประเทศไทย
ดังนั้น การที่คนต่างชาติพร้อมหอบเงินมา “ลงทุน” มา “ท่องเที่ยว” ในประเทศไทยได้อย่างเหลือเฟือ อาจมีเพียงส่วนน้อย ยิ่งมี “ม็อบ” กระหึ่มกันวันเว้น 2 วันด้วยแล้ว
แหล่งข่าวหลายคนยังบอกตรงกัน ช่วงจีนเกิดโควิด “ทุนญี่ปุ่น” หลายรายย้ายฐานการผลิตออกจากจีน ไปประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามจำนวนมาก ไม่เลือกมาไทย เพราะมีหลายปัจจัยเรื่องการค้าระหว่างประเทศ และการอำนวยความสะดวกที่เอื้อต่อผู้ลงทุนด้วย
ส่วนด้านนักท่องเที่ยว ได้คุยกับผู้ประกอบการรายหนึ่งเล่าว่า ทัวร์จีนจำนวนมากที่มาท่องเที่ยวกัน ส่วนใหญ่เป็นคนฐานะปานกลาง วัยทำงาน กว่าคนเหล่านี้จะเก็บเงินกลับมาท่องเที่ยวเมืองไทยได้ คงต้องใช้เวลา เพราะเศรษฐกิจจีนก็ย่ำแย่เช่นเดียวกัน
ภาพสวยหรูที่หลายคนมองว่า เมื่อมีวัคซีนแล้ว ต่างชาติจะแห่กลับมา “ลงทุน” แห่มา “ท่องเที่ยว” ประเทศไทยจำนวนมากภายในกลางปีหน้า หรือปลายปีหน้า อาจจะเร็วเกินไปหรือไม่
สำหรับสายตาของนักธุรกิจอีกหลายคนที่มองกันว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลากว่าเศรษฐกิจจะฟื้นดีดกลับมา และคงไม่เท่ากับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 แน่นอน !