คอลัมน์ ร่วมด้วยช่วยคิด นิธิสาร พงศ์ปิยะไพบูลย์ ฝ่ายนโยบายการเงิน วรพร ทวีทรัพย์ไพบูลย์ โครงการยุทธศาสตร์ด้านอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารแห่งประเทศไทย
เงินบาท “แข็งค่า” “ผันผวน” เป็นประเด็นที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจไทยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งปัญหาดังกล่าวเปรียบเสมือน “อาการ” ที่เป็นผลจากทั้งภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน และปัญหาเชิงโครงสร้างของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนไทย เนื่องจากเงินทุนเคลื่อนย้ายขาดความสมดุลและกฎเกณฑ์บางอย่างอาจไม่สอดคล้องกับบริบทเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
แบงก์ชาติจึงให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างอย่างยั่งยืน ผ่านการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (New FX Ecosystem) ซึ่งดำเนินการแบบบูรณาการตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ
เพื่อให้เงินทุนเคลื่อนย้ายมีความสมดุลมากขึ้น และเศรษฐกิจไทยสามารถรองรับความผันผวนจากภาวะตลาดการเงินโลกได้ดีขึ้น
-การผลักดัน FX Ecosystem ต้องดำเนินการแบบบูรณาการ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำ
ด้วยลักษณะปัญหาเชิงโครงสร้างในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนมีความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงกับผู้เล่นในตลาดหลากหลายกลุ่ม ซึ่งเปรียบเสมือนระบบนิเวศ (ecosystem) ตั้งแต่ระดับ
(1) ต้นน้ำ คือ ผู้กำหนดนโยบายหรือหลักเกณฑ์
(2) กลางน้ำ คือ ผู้ให้บริการหรือสถาบันการเงินต่าง ๆ
และ (3) ปลายน้ำ คือ ผู้ใช้บริการ อาทิ
ผู้ลงทุนไทย ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ดังนั้นการผลักดันให้เกิด FX Ecosystem ใหม่อย่างยั่งยืนและเป็นรูปธรรม จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกองคาพยพทั้งภาครัฐและภาคเอกชน โดยแบงก์ชาติแบ่งแนวทางการผลักดันออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1.การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศ (FX investment ecosystem)
2.การปรับหลักเกณฑ์ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX regulatory framework) ให้สมดุลขึ้น และสอดคล้องกับบริบทด้านเศรษฐกิจและตลาดการเงิน
3.การปรับภูมิทัศน์การแข่งขันของผู้ให้บริการธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX service provider landscape)
4.การยกระดับการติดตามข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายเพื่อดูแลตลาดอัตราแลกเปลี่ยน (FX surveillance and management)
โดยในวันนี้ จะขอเล่าถึงแนวทางการผลักดันที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคนไทย และประโยชน์ที่จะได้รับจากสิ่งที่ทางแบงก์ชาติได้ดำเนินการแล้ว คือ 1.การส่งเสริมการลงทุนต่างประเทศ 2.การปรับหลักเกณฑ์ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และ 3.การส่งเสริมการบริหารความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน
1.การส่งเสริมการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ เพื่อให้คนไทยลงทุนหลักทรัพย์ในต่างประเทศได้ง่ายเหมือนในประเทศ
ถ้าคุณผู้อ่านเป็นผู้ลงทุนรายย่อย อาจเคยรู้สึกว่าการออกไปลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศในอดีต เป็นเรื่องยากและไกลเกินเอื้อม อาจเพราะขาดความรู้หรือติดขัดกฎระเบียบและขั้นตอนที่ยุ่งยากซับซ้อน
ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว (pain points) แบงก์ชาติจึงได้ร่วมมือกับผู้ที่เกี่ยวข้องดำเนินการแก้ไขปัญหาแบบบูรณาการ ใน 3 ด้านดังนี้
(1) แก้เกณฑ์ให้สามารถทำการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศได้เพิ่มขึ้น โดยการลงทุนในบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศ (FCD) ทำได้ไม่จำกัด ขณะที่การลงทุนผ่านตัวกลางในต่างประเทศ ขยายให้มีวงเงินลงทุนได้มากถึงปีละ 5 ล้านดอลลาร์ สรอ. และสามารถลงทุนในหลักทรัพย์ได้กว้างขึ้น อาทิ สัญญาอนุพันธ์ในตลาด OTC
(2) ปรับกระบวนการให้ลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศง่ายขึ้น โดยลดขั้นตอนและระยะเวลาการลงทะเบียน (register) กับแบงก์ชาติ สำหรับผู้ลงทุนรายย่อยที่จะออกไปลงทุนผ่านตัวกลางในต่างประเทศ
รวมถึงยกเลิกการจัดสรรวงเงินลงทุนต่างประเทศสำหรับผู้ลงทุนภายใต้ ก.ล.ต. (วงเงิน FIA) ทำให้การลงทุนต่างประเทศของผู้ลงทุนสถาบันทำได้สะดวกขึ้น
(3) ส่งเสริมการแข่งขันการให้บริการลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ ได้แก่ ผลักดันการนำผลิตภัณฑ์ที่อ้างอิงหลักทรัพย์ต่างประเทศมาซื้อขายในประเทศ
โดยเริ่มต้นที่ทองคำสกุลเงินดอลลาร์ สรอ. และสนับสนุนการพัฒนาระบบการลงทุนต่างประเทศที่สะดวก คล่องตัว และสามารถเข้าถึงผู้ลงทุนรายย่อยด้วยต้นทุนที่เหมาะสม เช่น ให้บริการผ่านแอปในสมาร์ทโฟน
การปรับ FX investment ecosystem ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2563 ได้ช่วยให้ผู้ลงทุนไทยสามารถเข้าถึงการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้สะดวก คล่องตัว และด้วยต้นทุนที่เหมาะสม นับเป็นประโยชน์ต่อผู้ลงทุนรายย่อยในการกระจายความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสของผลตอบแทนจากการลงทุน
ทั้งนี้ นับแต่ต้นปี 2564 พบว่า การลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนไทยค่อนข้างมาก เห็นได้จากการที่คนไทยนำเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 สูงถึง 8.7 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ซึ่งสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
2.การส่งเสริมการบริหารความเสี่ยงค่าเงินและการปรับหลักเกณฑ์ เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้คล่องตัวมากขึ้น
ถ้าคุณผู้อ่านเกี่ยวข้องกับธุรกิจส่งออกหรือนำเข้าอาจเคยปวดหัวกับการทำธุรกรรมบริหารความเสี่ยงค่าเงิน ซึ่งมีกฎเกณฑ์ ขั้นตอน และการเตรียมเอกสารที่ยุ่งยากและซับซ้อน จนกลายเป็นข้อจำกัด (pain points) ดังนั้น ในช่วงปี 2562-2563 แบงก์ชาติได้ลงพื้นที่พูดคุยกับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกและนำเข้าจำนวนกว่า 150 ราย รวมถึงเข้าพบสมาคมผู้ประกอบการต่าง ๆ อีกหลายสมาคม
เพื่อหารือและรับฟังข้อเสนอแนะต่อแนวทางการปรับหลักเกณฑ์ธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศใหม่ (FX regulatory framework) ที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีขึ้น ผ่านการแก้ไขปัญหาอย่าง
บูรณาการและตรงจุดใน 3 มิติ คือ
(1) สนับสนุนเครื่องมือและข้อมูล
เช่น (1.1) แบงก์ชาติได้ปรับเกณฑ์การใช้บัญชี FCD ให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงและโอนเงินตราต่างประเทศระหว่างบัญชี FCD ได้อย่างเสรี รวมถึงลดจำนวนบัญชี FCD ให้เหลือบัญชีเดียว จากเดิมที่ผู้ประกอบการต้องเปิด FCD หลายบัญชีตามแหล่งที่มา นอกจากนี้ยังได้เผยแพร่ข้อมูลค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมผ่านบัญชี FCD เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถเปรียบเทียบ
ต้นทุนการทำธุรกรรมระหว่างสถาบันการเงินได้
(1.2) แบงก์ชาติร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนิน “โครงการส่งเสริมความรู้ด้านบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและสนับสนุน SMEs ที่ทำการค้าระหว่างประเทศ” หรือ “FX options ระยะที่ 3” ในปี 2563-2564 โดยเป็นเครื่องมือประกันค่าเงินในการนำเข้าส่งออก ซึ่งผู้ประกอบการจะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลในการทดลองใช้เครื่องมือจริง โดยเมื่อหมดระยะโครงการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะพิจารณาการดำเนินงานที่เหมาะสมต่อไป
(2) แก้เกณฑ์ การโอนเงินออกไปยังต่างประเทศและการบริหารความเสี่ยงค่าเงินให้ยืดหยุ่นมากขึ้น
และ (3) ปรับกระบวนการ โดยลดขั้นตอนและลดการแสดงเอกสารในการทำธุรกรรมเงินตราต่างประเทศเพื่อให้คล่องตัวมากขึ้น
การบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนและการปรับหลักเกณฑ์ข้างต้น ทั้งเครื่องมือและข้อมูลที่พร้อม เกณฑ์ที่เอื้อ กระบวนการที่ง่าย จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถบริหารความเสี่ยงจากค่าเงินได้ดีขึ้น เปรียบเสมือนการฉีดวัคซีนเพื่อให้ผู้ประกอบการมีภูมิคุ้มกันป้องกันผลกระทบจากความผันผวนของค่าเงิน ภายใต้สภาวะแวดล้อมในตลาดการเงินที่ผันผวนสูงและคาดเดาได้ยาก
-ระบบการเงินไทยจะปรับตัวต่อความผันผวนได้ดีขึ้นภายใต้ New FX Ecosystem
การปรับระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (New FX Ecosystem) นอกจากเป็นการปลดล็อกอุปสรรคให้กับผู้ลงทุนและผู้ประกอบการไทยแล้ว ยังเป็นการปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างครั้งสำคัญที่จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนด้วย เนื่องจากภายใต้บริบทของตลาดการเงินโลกที่มีความไม่แน่นอนสูง เราคงไม่สามารถปฏิเสธความผันผวนของตลาดการเงินได้
เราจึงจำเป็นต้องปรับตัวและรับมือกับความเปลี่ยนแปลง ซึ่งความร่วมมือจากทุกองคาพยพทั้งรัฐและเอกชนจะเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันสร้าง FX Ecosystem ใหม่ ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถรองรับกับความผันผวนในตลาดการเงินได้อย่างยั่งยืนต่อไป
หมายเหตุ – บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย