31 ปี วิถีแห่ง “ไฮคิว” “คุณค่า…อยู่ในสิ่งที่เราเลือกทำ”

ต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่า เส้นทางของบริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งในปี 2529 จนถึงปี 2560 ในปัจจุบัน ล้วนมีเรื่องราวต่าง ๆ มากมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจ

จนถึงวันนี้ย่างก้าวสู่ปีที่ 31 แล้ว

เป็น 31 ปีที่ไม่เพียงสร้างแบรนด์ภายใต้แบรนด์ไฮคิว, โรซ่า ที่ครอบคลุมกลุ่มอาหารกระป๋อง, เครื่องปรุงรส, ผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทาน, เชฟแอทโฮม, ผักกาดดอง, ผลิตภัณฑ์รับผลิต (OEM) และอาหารสัตว์

หากยังเป็น 31 ปีที่บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เชื่อเสมอว่า…คุณค่า…อยู่ในสิ่งที่เราเลือกทำ

ตามวิถีของไฮคิว (The Hi-Q Way) ที่เกี่ยวข้องกับหัวใจเปิดกว้าง (Open Minded) เนื่องเพราะปี 2533 ไฮคิวเป็นปลากระป๋องรายแรกที่นำปลากระป๋องแบบฝาเปิดง่ายเข้าสู่ตลาดเป็นรายแรก, สร้างการเปลี่ยนแปลง (Adaptive to Change) ปี 2543 มีการปรับโฉมบรรจุภัณฑ์ซอสมะเขือเทศ และซอสพริกโรซ่า เพื่อสร้างความทันสมัยให้กับผลิตภัณฑ์

พลิกแพลงปรับเปลี่ยน (Seeking to Innovative) ปี 2545 โรซ่าเดินหน้าขยายสายผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดผักกาดดอง เพื่อสร้างโอกาสทางการตลาด, หาทางทำให้ง่าย (Striving for Simplicity) ปี 2549 พัฒนาบรรจุภัณฑ์จากขวดแก้วมาเป็นขวดบีบง่าย พร้อมฝาเปิดที่มี Safety Valve เพื่อป้องกันการไหลย้อนของซอสเวลาบีบออก

เรียนรู้เดินหน้า (Infinite Learning & Moving Forward) ปี 2555 ออกโรซ่า พร้อมนวัตกรรมล่าสุดที่พร้อมรับประทาน โดยบรรจุอยู่ในซอง Retort Pouch ซึ่งเป็นรายแรกในตลาด น้ำหนักเบา พกพาง่าย และไม่ต้องแช่แข็ง

ทั้งนั้นเพื่อให้ผู้บริโภคมีคุณค่าทางโภชนาการ อันเป็นเป้าหมายสู่การเพิ่มขีดความสามารถของสินค้าไทยแข่งขันในตลาดโลก

โดยมี “สุวิทย์ วังพัฒนมงคล” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไฮคิวผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด เป็นผู้ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง เพราะเขาต้องการที่จะมุ่งมั่นคิดค้นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้บริโภค พร้อมกับตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย

“เพราะเราคัดสรรวัตถุดิบสดใหม่ จากแหล่งวัตถุดิบโดยตรง จนนำมาสู่ขั้นตอนการผลิตที่มีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานสูง สะอาดปลอดภัยทุกขั้นตอน ด้วยเครื่องจักรทันสมัย อีกทั้งเรายังใส่ใจการพัฒนาคุณภาพ เพราะเราไม่เคยหยุดนิ่งกับการวิจัยค้นคว้า และพัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่อง”

“นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่เราไม่เคยละเลยตลอด 31 ปีผ่านมา คือ ปณิธานที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยให้ดีขึ้น ด้วยการทำกิจกรรมเพื่อสังคม และสนับสนุนการเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของเยาวชนในชนบท เพื่อเป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินเกิด ที่ให้โอกาส และสนับสนุนให้เราเติบใหญ่แข็งแรงจนทุกวันนี้”

จนที่สุด จึงเกิดโครงการ CSR Campaign เพื่อมุ่งเน้นสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่เยาวชน

สำหรับเรื่องนี้ “สุวิทย์” เล่าให้ฟังว่า เราสนับสนุนการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน ที่จะต้องทำเรื่องการสร้างเสริมภาวะโภชนาการที่ดี และการส่งเสริมความแข็งแกร่งของร่างกายผ่านกีฬา ซึ่งผ่านมาเรามีโครงการโฮมฮักรักลูกหลาน โภชนาการดี, โรซ่า โฮมฮักนักกีฬาน้อย

“ช่วงผ่านมาเราทำกิจกรรมซีเอสอาร์กับโรงเรียนในเขตพื้นที่รอบ ๆ โรงงานโรซ่าอยู่แล้ว แต่ที่เราหันมาสนใจเรื่องกีฬาเพราะกีฬาจะช่วยเปลี่ยนชีวิตเด็ก ๆ เหล่านี้ได้ เพราะเด็กต่างจังหวัดเสียเปรียบเด็กในเมืองทางด้านการศึกษา แต่สิ่งที่ได้เปรียบคือกีฬา, การแสดง และร้องเพลง เราจึงนำเรื่องกีฬามาต่อยอด เราเชื่อว่าหลังจากเราทำโครงการโรซ่า โฮมฮักนักกีฬาน้อย เราอาจจะเจอช้างเผือก”

“เรามีความร่วมมือกับผู้อำนวยการเขตการศึกษาในแต่ละจังหวัดที่เราดำเนินธุรกิจพร้อมกันนั้นเรามีความร่วมมือกับสมาคมกรีฑาแห่งประเทศไทย เพื่อให้เขาทำการอบรม และจัดการแข่งขัน เพื่อทำการคัดเลือกตัวแทน 8 โรงเรียน โดยมีโรงเรียนละ 10 คน ทั้งหมด 80 คน ไม่นับอาจารย์ และผู้ติดตามอีกจำนวนหนึ่ง เพื่อมาแข่งขันกรีฑาในรอบชิงชนะเลิศในกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่เคยมากรุงเทพฯเลย ที่สำคัญ พวกเขามีโอกาสเจอะเจออดีตนักกรีฑาทีมชาติด้วย”

เพราะเราต้องการสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา

“สุวิทย์”
บอกว่า นอกจากเขาจะได้แข่งขันกีฬา เรายังให้ทีมงานของเราพาพวกเขาไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส ไปเที่ยวสวนสัตว์เขาดินวนา และพาไปรับประทานอาหารค่ำบนเรือ โดยมีไกด์กิตติมศักดิ์คอยบอกเล่าประวัติศาสตร์สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาให้พวกเขาได้ซึมซับ

“จากนั้นเราจะให้ตัวแทนอดีตนักกรีฑาทีมชาติสองคน(ผู้ชาย-ผู้หญิง)บอกเล่าประสบการณ์ และเรื่องราวของตัวเองให้น้อง ๆ ฟังว่ากว่าเขา และเธอจะมาเป็นนักกรีฑาทีมชาติจะต้องเจออุปสรรคขวากหนามอะไรบ้าง พวกเขาเคยท้อบ้างหรือไม่ และเพราะเหตุใดจึงเอาชนะอุปสรรค และปัญหาเหล่านั้น จนก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาทีมชาติ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เหมือนเป็นการจุดเชื้อไฟให้พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะเป็นนักกีฬาต่อไป”

ฉะนั้น ในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 30 ปี เพื่อก้าวสู่ปีที่ 31 “สุวิทย์” จึงเปิดแคมเปญชื่อ “คุณค่า…อยู่ในสิ่งที่เราเลือกทำ” ด้วยการจัดทำหนังโฆษณาเรื่อง “คุณค่า สะท้อนเจตนารมณ์”

“โดยเล่าเรื่องเพลงที่อบอุ่น ถ่ายทอดเรื่องราวของมื้ออาหารดี ๆ ที่บริษัทส่งมอบให้คนไทยมาตลอด 30 ปี ไปจนถึงเรื่องโครงการเพื่อสังคมอีกมากมาย ที่พร้อมจะมุ่งมั่นทำเพื่อวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่าเดิม ขณะเดียวกันเราจัดทำคลิปวิดีโอ 3 เรื่อง เพื่อกระตุ้นสังคมให้เห็นคุณค่าของการทำความดี และเลือกที่จะทำในสิ่งที่ดี ได้แก่ เรื่องข้าราชการ, น้ำท่วม และนักศึกษาแพทย์ โดยถ่ายทอดคุณค่าในมุมต่าง ๆ ของคน 3 กลุ่ม ให้เลือกทำในสิ่งที่มีคุณค่าเสมอ รวมถึงเรื่องสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เพื่อให้ผู้ชมเห็นคุณค่าของตัวนักกีฬา ไม่ใช่สนใจแต่ผลแพ้ชนะ แต่จะต้องทำอย่างไรให้พวกเขาเห็นเส้นทางแห่งความมุ่งมั่นของตัวนักกีฬาจริง ๆ”

“ฉะนั้น เป้าหมายสู่ความยั่งยืนจึงเกี่ยวข้อง 2 เรื่องด้วยกัน หนึ่ง ผลิตภัณฑ์จะต้องมีคุณค่าทางโภชนาการกับผู้บริโภค และสอง การทำซีเอสอาร์ต่อไปนี้ เราจะต้องฝังดีเอ็นเอเรื่องความรู้สึกการมีส่วนร่วมของพนักงานทุกคนเข้าไปในตัวของพวกเขา เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกคนจะมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และมีความเสียสละเพื่ออยากจะทำให้ผู้อื่นอย่างจริงใจ”

จนกลายเป็นพันธกิจองค์กร

ที่จะทำให้องค์กรของเราเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน