หทัย ศราวุฒิไพบูลย์ มือปั้นไอดอล 4NOLOGUE

ประกาศตัวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ครบวงจร อย่างเป็นทางการไปเมื่อต้นปี2561 ที่ผ่านมา สำหรับบริษัท โฟโนล็อค จำกัด หรือ 4NOLOGUE ภายใต้การบริหารของอนุวัติ วิเชียรณรัตน์ ในฐานะประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง งานใหญ่ระดับนี้ทำคนเดียวไม่ได้แน่นอน ประชาชาติธุรกิจ สัมภาษณ์ “หทัย ศราวุฒิไพบูลย์” ผู้อำนวยการฝ่าย new business หรือที่ใคร ๆ เรียกว่า มือขวาของวุธ อนุวัติ กับหน้าที่ปั้นศิลปิน และดูแลธุรกิจใหม่ของ 4NOLOGUE อีกด้วย

“ทั้งคุณวุธและเรามี passion ที่เหมือนกันคือ อยากเห็นวงการเพลงไทยกลับมาคึกคักอีกครั้ง และก็เป็นเรื่องที่เราอยากทำอยู่แล้ว จึงตัดสินใจมาร่วมงานกับ 4NOLOGUE ซึ่งในตอนนั้นก็อยู่ในแวดวงดนตรีอยู่แล้ว คือ ค่ายเพลงกามิกาเซ่ รวมถึงทีมงานของเราก็ทำงานในพาร์ตของธุรกิจเพลงมากว่า 10 ปี มีความเชี่ยวชาญที่จะมาเสริมกันได้อยู่แล้ว” หทัยเล่าถึงที่มาที่ไป ก่อนจะมาร่วมงานกับ 4NOLOGUE หลังจากนั้น เธอได้รับโจทย์สำคัญนั่นคือ การปั้นศิลปินใหม่

หทัยเริ่มต้นงานกับโปรเจ็กต์ไนน์ บาย นาย (9×9) ที่รวม 9 หนุ่ม 9 แคแร็กเตอร์ มาไว้ด้วยกัน จนถึงวันนี้ใช้งบฯไปกว่า 100 ล้านบาท เพื่อใช้พัฒนาและบ่มเพาะศิลปินใหม่ ที่วาดหวังไว้ว่าจะช่วยปลุกวงการเพลงไทยที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนกลับมา หทัยเล่าถึงคุณสมบัติของศิลปินที่ 4NOLOGUE ต้องการ คือ ต้องมี “passion กับ attitude” รวมถึงสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ เสน่ห์เฉพาะตัวที่โดดเด่น แม้ว่าจะร้องเพลงและเต้นไม่เก่งก็ตาม แต่เรามองว่าทักษะต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ฝึกฝนกันได้ หลังจากนั้นจึงเริ่มการออดิชั่น จากวัยรุ่นที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่งและศิลปินใหม่ เพื่อฟอร์มทีมเป็นบอยแบนด์วงไนน์ บาย นาย ประกอบไปด้วย ต่อ ธนภพ, เจเจ กฤษณภูมิ, เจมส์ ธีรดล, กัปตัน ชลธร, เติร์ด ลภัส, ปอร์เช่ ศิวกร, ไอซ์ พาริส, แจ็กกี้ จักริน และริว วชิรวิชญ์ ซึ่งแต่ละคนถือว่าไม่ธรรมดา

ในเมื่อจะพัฒนาวงการเพลงไทยแล้ว จะต้องเริ่มต้นย้อนไปถึง “ราก” ซึ่งก็คือมาตรฐานของศิลปิน ที่ 4NOLOGUE ใช้มาตรฐานสากลมาพัฒนาทั้ง 9 คน “ถ้าไม่พร้อม เราก็ไม่ให้ผ่าน” หทัยเน้นย้ำในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะการเป็นศิลปินหากต้องการไปได้ไกลมากขึ้น จะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน และมีความแข็งแรงทั้งการร้องและเต้น และที่สำคัญ เมื่อคิดจะพัฒนาวงการเพลงแล้วต้องไปให้ไกลระดับสากล เพราะถ้าไม่ได้มาตรฐาน ศิลปินจะไม่สามารถไปถึงจุดที่เรียกว่า “พ็อปไอดอล” ได้ ในมุมกลับกัน หากว่าศิลปินได้คุณภาพก็จะได้กระแสตอบรับจากแฟนคลับที่พร้อมจะซัพพอร์ตศิลปิน หรืออาจจะเรียกว่า ศิลปินต้องให้ “คุณค่า” กับคนดูคนฟังก่อน ถ้าเราทำถึง เขาก็จะให้ค่ากับศิลปินเช่นกัน

“หทัย” ยังฉายภาพขั้นตอนในการคัดเลือกศิลปินที่ผ่านมากับโปรเจ็กต์ไนน์ บาย นาย ว่า มีเข้ามาออดิชั่นกว่า 100 คน แต่เราต้องการเพียง 9 คน หลังจากนั้นได้เซตทีมดูแลทั้ง 9 คนโดยเฉพาะ ทั้งในแง่ของการโปรโมต การสร้าง content รวมถึงการประชาสัมพันธ์ด้วย อย่างไรก็ตาม ไนน์ บาย นายทั้ง 9 คนจะต้องซ้อมร้องและเต้นตามที่กำหนดไว้ เช่น ต้องซ้อมร้องและเต้นอยู่ที่ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน รวมเบ็ดเสร็จเฉพาะการซ้อมต้องไม่ต่ำกว่า 2,000 ชั่วโมง ก่อนที่จะเปิดตัวเป็นศิลปินอย่างเป็นทางการ

ในส่วนที่สมาชิกบางคนยังต้องเรียนหนังสือจะต้องหาเวลามาซ้อมให้ได้ตามที่กำหนดไว้ เช่น ต่อ ธนภพ ที่ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียนเข้ามาซ้อมร้องซ้อมเต้น บางวันซ้อมกันจนถึงตี 2 ก็มี ซึ่งจะต้องฝึกแบบนี้รวม 1 ปี จนกระทั่งพร้อมที่จะทำงานในหน้าที่ศิลปินต่อไป บางคนจากที่เต้นไม่ได้เลย หรือไม่เคยเรียนร้องหรือเต้นมาก่อน พอผ่านไปสักระยะทุกคนก็เริ่มเข้าที่ และสิ่งสำคัญที่ศิลปินต้องมีอีกอย่างคือ วินัย

หทัยเล่าถึงโปรเจ็กต์ไนน์ บาย นาย ต่ออีกว่า ศิลปินไม่เพียงแต่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแฟนคลับเท่านั้น แต่ไนน์ บาย นาย ยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับทีมงานรวม 10 ชีวิตอีกด้วย เพราะทุกครั้งที่เห็นทั้ง 9 คน ยังคงมุ่งมั่นในการซ้อมและเต้น เขาลงแรง แต่ทีมงานแค่ลงมันสมอง มันไม่หนักเท่ากับการเป็นศิลปินที่ตื่นเช้าแล้วต้องเจอกับอะไรซ้ำ ๆ เป็นปี เพราะพวกเขาเชื่อมั่นว่าการซ้อมจะทำให้เสียงร้องและเปอร์ฟอร์แมนซ์ของพวกเขาดีขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับทีมงานด้วย

เมื่อถามถึงอนาคตของโปรเจ็กต์ไนน์ บาย นาย หทัยบอกว่า ในขณะนี้พวกเขาทั้ง 9 คน เข้าสู่พาร์ตการเป็นศิลปินแล้ว ตามโปรแกรมในช่วงต้นปีนี้จะเริ่มทัวร์คอนเสิร์ต หรือ “School Tour” จับกลุ่มเป้าหมายคือโรงเรียนต่าง ๆ จากนั้นเป็นช่วง Thailand Tour ไปที่จังหวัดนครราชสีมา เชียงใหม่ และปิดท้ายด้วยกรุงเทพฯ ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ในวันที่ 9 มีนาคม เพื่อปิดโปรเจ็กต์ไนน์ บาย นาย หลังจากนั้นจะเปิดโปรเจ็กต์ใหม่เพื่อค้นหาศิลปินใหม่ต่อไป

ภายหลังจากที่จบโปรเจ็กต์นี้แล้ว พวกเขาทั้ง 9 คนจะมุ่งไปสู่ความเป็น “จุดแข็ง” ที่พวกเขามี โดยอาจจะมีบางคนไปเป็นศิลปินเดี่ยว ซึ่งทั้งหมดนั้นได้วางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว อย่างเช่น น้อง “ต่อ ธนภพ” จะได้เห็นเขาในฐานะนักแสดงอยู่แล้ว ซึ่งน้องต่อเองก็สนใจในงานเพลง แต่อยากให้ติดตามศิลปินจาก 4NOLOGUE นี้ต่อไป

ในแง่ของธุรกิจบันเทิงและอนาคตของ 4NOLOGUE ต่อจากนี้ หทัยบอกว่า ในปีེ นี้ 4NOLOGUE จะให้น้ำหนักไปที่ธุรกิจค่ายเพลง ที่เน้นจับกลุ่ม new gen มากขึ้น และเอเยนซี่ โดยเฉพาะเอเยนซี่ที่มีลูกค้าเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ช่วยรีแบรนดิ้งให้บริษัทดูสดใหม่มากขึ้น ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่เราไม่ต้องเดินออกไปหาลูกค้า นอกจากนี้ยังมีอีก 4-5 โปรดักต์ที่ต้องการให้ร่วมงานกับ 4NOLOGUE ทำให้เห็นถึงอนาคตและโอกาสทางธุรกิจบางอย่าง มันอาจจะต้องทำอะไรที่มากขึ้นเพื่อซัพพอร์ตความต้องการของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นในอนาคต 

 

ไม่พลาดข่าวสารเศรษฐกิจ เจาะลึกทุกประเด็นทั้งภาครัฐ-เอกชน เพิ่มเราเป็นเพื่อนที่ Line ได้เลยพิมพ์ @prachachat หรือ คลิกลิงก์ https://line.me/R/ti/p/@prachachat 

หรือจะสแกน QR Code ในรูป เราพร้อมเสิร์ฟข่าวเศรษฐกิจ-ธุรกิจถึงมือผู้อ่านทันที!