วุฒิภาวะของหัวหน้า กับการลาออกของลูกน้อง

หนังสือลาออก
คอลัมน์ เอชอาร์คอร์เนอร์
โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ https://tamrongsakk.blogspot.com

เมื่อมีการรับเข้าทำงานก็ย่อมจะต้องมีการลาออกเป็นของคู่กัน สาเหตุการลาออกคงหลากหลายตามแต่คนที่ลาออกต้องการจะบอกว่าเพราะอะไร ไม่ว่าจะเป็นลาออกเพราะต้องการความก้าวหน้า, ศึกษาต่อ,ไม่พอใจหัวหน้า, อยากจะหาสิ่งใหม่ ๆ ทำ ฯลฯ จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง

เพราะลูกน้องที่ลาออกก็ไม่อยากจะให้เหตุผลที่ real จนเกินไป เช่น ทนพฤติกรรมบ้าอำนาจของหัวหน้าไม่ไหว แต่ครั้นจะตอบอย่างนั้นไปในexit interview เดี๋ยวเวลาบริษัทใหม่เช็กประวัติกลับมา จะได้คำตอบจากหัวหน้าเก่าไม่สวย ก็เลยใส่ไปว่าศึกษาต่อบ้าง, ต้องการความก้าวหน้าบ้าง ก็ว่ากันไป

ในเรื่องการลาออกนี้ ผมได้มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับคนที่เป็นหัวหน้า หรือเป็นผู้บริหาร คือ …การลาออกของลูกน้องจะเป็นตัววัดวุฒิภาวะผู้นำของหัวหน้าได้ด้วยนะครับ

หัวหน้าประเภทแรก เมื่อลูกน้องมายื่นใบลาออกก็จะพูดคุยกันด้วยเหตุด้วยผล มีความเป็นผู้ใหญ่ เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตคนทำงาน เข้าใจว่าลูกน้องอยากมีทางเดินใหม่ ๆ และอยากจะรู้สาเหตุการลาออกของลูกน้องอย่างจริงใจ หัวหน้าประเภทนี้ต้องการจะทราบปัญหาเพื่อนำมาหาทางป้องกันแก้ไขสำหรับลูกน้องที่ยังอยู่ เพื่อลดการลาออกลง ถ้ายังอยู่ในวิสัยที่หัวหน้าจะแก้ไขได้

ยิ่งเป็นลูกน้องที่ทำงานดี มีฝีมือ แล้วมายื่นใบลาออก หัวหน้าประเภทนี้จะพยายามพูดจาโอ้โลมปฏิโลมเพื่อดึงลูกน้องเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้ว ลูกน้องยังยืนยันเจตนาลาออกก็จะอวยชัยให้พรเลี้ยงส่งลูกน้องด้วยความเสียดาย แถมมีน้ำตารื้นน้ำตารินว่าหัวหน้า และทีมงานเสียดายที่ลูกน้องคนนี้จะต้องลาออกไป

ถ้าเป็นการลาออกในแบบนี้มักจะพบว่า ทั้งหัวหน้า และลูกน้องยังมีการติดต่อสื่อสารกันต่อไปด้วยสัมพันธภาพที่ดี ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในกลุ่มไลน์ หรือเฟซบุ๊ก หรือยังมีการนัดพบปะสังสรรค์กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในกาลข้างหน้าต่อไป หรือเผลอ ๆ ลูกน้องที่ลาออกไปอาจจะกลับมาเป็นลูกน้อง (หรือบางทีก็กลายเป็นหัวหน้า) ของหัวหน้าในอนาคตก็มีนะครับ

ถ้าใครได้หัวหน้าแบบนี้ก็ถือว่า “ทำบุญมาดี” ครับ เพราะได้หัวหน้าที่มีวุฒิภาวะที่ดี เข้าใจสัจธรรม และโลกธรรม 8

แต่หัวหน้าอีกประเภทหนึ่งไม่ยักกะเป็นเหมือนกับประเภทแรก แต่กลับทำตรงกันข้าม

เมื่อลูกน้องมายื่นใบลาออก แทนที่จะพูดคุยกับลูกน้องด้วยดี เพื่อให้รู้ต้นสายปลายเหตุที่แท้จริงว่าเกิดจากอะไรกันแน่ จะได้นำมาแก้ไขปรับปรุงเพื่อรักษาคนที่ยังอยู่เอาไว้ กลับมองลูกน้องที่มายื่นใบลาออกในมุมที่ว่า ลูกน้องเป็นคนที่ไม่จงรักภักดี, เราอุตส่าห์ประเมินผลงานให้ดี ขึ้นเงินเดือนให้ก็ตั้งเยอะ (ทั้ง ๆ ที่เงินที่ให้ก็เป็นเงินของบริษัท ไม่ใช่เงินของหัวหน้าสักหน่อย) รู้อย่างงี้เอาเงินที่จะขึ้นให้ เอาไปให้คนอื่นซะยังดีกว่า เอามาให้คนที่ไม่รู้จักบุญคุณหัวหน้า (ว่าไปโน่น)

หัวหน้าประเภทนี้มองลูกน้องที่มายื่นใบลาออกเป็นศัตรูไปเลยครับ

พฤติกรรมของหัวหน้าประเภทนี้กับลูกน้องจะเปลี่ยนไปทันทีที่ลูกน้องมายื่นใบลาออก ยิ่งเป็นลูกน้องที่มีฝีมือ มีศักยภาพ หัวหน้าเคยไว้วางใจให้เทใจให้ ยิ่งแค้นมาก

ผมเคยเจอหัวหน้าบางคนที่คอยจ้องจองเวรกับลูกน้องที่เข้ามายื่นใบลาออก (ล่วงหน้า 30 วัน ตามระเบียบบริษัท) ถึงขนาดที่ว่านับจากวันที่ได้รับใบลาออกจากลูกน้องแล้ว หัวหน้าก็มาคอยนั่งเฝ้าดูพฤติกรรมของลูกน้องคนนี้ทุก ๆ วันเลยว่า วันนี้กลับบ้านกี่โมง แล้วก็อีเมล์รายงานไปที่ regional office ที่ต่างประเทศทุกวัน เช่น วันที่ 1 พ.ย. กลับบ้านเวลา 17.10 น. วันที่ 2 พ.ย. กลับบ้านเวลา 17.05 น. ทั้ง ๆ ที่เวลาเลิกงานคือ17.00 น. แต่หัวหน้าต้องการจะรายงานว่าลูกน้องไม่รับผิดชอบงาน พอถึงเวลาเลิกงานก็จ้องแต่จะกลับบ้านเพื่อทำให้ลูกน้องเสียประวัติกับทางregional office ไปจนถึงวันที่มีผลลาออกก็มีนะครับ

แถมเมื่ออีเมล์รายงานไปที่ regional office ที่ต่างประเทศแล้ว ยัง CC ให้ลูกน้องอ่านเพื่อกดดันให้ลูกน้องเครียดก่อนถึงวันลาออกอีกต่างหาก

ผมถึงได้บอกว่าการลาออกของลูกน้องเป็นเครื่องวัดวุฒิภาวะผู้นำของหัวหน้าได้ตัวหนึ่งไงล่ะครับ และบอกได้เลยว่า ถ้าใครได้หัวหน้าที่ขาดวุฒิภาวะแบบนี้ คงทำบุญมาไม่ดีแล้วล่ะครับ ได้แต่เอาใจช่วยว่าถ้าลาออกจากหัวหน้าคนนี้ไปแล้ว จะไม่ไปเจอหัวหน้าที่ขาดวุฒิภาวะในที่ใหม่อีก

หวังว่าท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้จะทำบุญมาดี ได้พบหัวหน้าที่มีวุฒิภาวะที่ดี และถ้าใครเป็นหัวหน้า ผมก็หวังว่าเมื่ออ่านเรื่องนี้จบแล้ว ท่านจะได้ข้อคิดในการเป็นหัวหน้าที่มีวุฒิภาวะที่ดีสำหรับลูกน้องด้วยนะครับ