รรินทร์ ทองมา ผู้รังสรรค์รองเท้ามิสยูนิเวิร์ส มุ่งมั่นพา O&B สู่แบรนด์ระดับโลก

พิราภรณ์ วิทูรัตน์ : เรื่อง
ปิดฉากลงอย่างสวยงามเป็นที่เรียบร้อยสำหรับเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 เมื่อวันที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา การจัดงานใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ และความสวยงามเฉิดฉายของสาวงามบนเวทีครั้งนี้ มีหลายองค์ประกอบเบื้องหลังที่ทุกส่วนล้วนแต่ทำงานกันอย่างหนัก เพื่อให้การประกวดนางงามจักรวาลออกมาอย่างสมบูรณ์สวยงามที่สุด

หนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญและมีผลอย่างมากต่อความงามสง่าของสาวงามบนเวทีก็คือรองเท้าส้นสูง ซึ่งครั้งนี้ O&B (โอแอนด์บี) แบรนด์รองเท้าสัญชาติไทย ได้รับความไว้วางใจจากกองประกวดให้รับบทบาทผู้รังสรรค์รองเท้าคอลเล็กชั่นพิเศษแก่สาวงามจากทั่วโลก ได้สวมใส่ในการประกวดครั้งนี้

O&B ก่อตั้งโดย ต้า-รรินทร์ ทองมา ซึ่งนับตั้งแต่ก่อตั้ง O&B ก็สร้างชื่อเสียงในหมู่สาว ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ จนขึ้นแท่นแบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยอันดับต้น ๆ ที่ผู้หญิงนึกถึง

รรินทร์เริ่มต้นเส้นทางการเป็นเจ้านายตัวเอง จากการลงทุนทำกระเป๋าและรองเท้าด้วยเงินเก็บก้อนสุดท้ายจำนวน 9 หมื่นบาท จากสาวมัณฑนศิลป์สู่ดีไซเนอร์และเจ้าของแบรนด์รองเท้าที่ได้รับการยอมรับจากดารา และเซเลบริตี้ทั้งไทยและเทศ การันตีจากการร่วมงานกับ แอนนา เดลโล รุซโซ่ แฟชั่นไอคอนระดับโลก

ปีนี้ O&B ก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ด้วยจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญทั้งแผนการขยายแบรนด์สู่ตลาดเซาท์อีสต์เอเชียไปจนถึงระดับเวิลด์ไวด์ ซึ่งรรินทร์บอกว่าทิศทางที่เธอวางไว้คือ การผลักดันแบรนด์สู่ระดับโลกและหากใครมาเยือนประเทศไทย O&B จะต้องเป็นชอยซ์แรกที่ทุกคนนึกถึง เธอเปิดเผยว่าตอนนี้มีนักธุรกิจต่างชาติสนใจร่วมลงทุนเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นด้วย

ประตูบานสำคัญที่เปิดโอกาสให้เธอพา O&B ไปถึงจุดนั้นได้รวดเร็วยิ่งขึ้นก็คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งของเวทีการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2018 ซึ่งครั้งนี้ O&B รับหน้าที่ออกแบบรองเท้าให้กับผู้เข้าประกวดสองแบบด้วยกัน คือ รองเท้าสำหรับงาน Thai Night และรอบ preliminary

สำหรับงาน Thai Night นั้น O&B เลือกรองเท้าทรง stiletto ที่สะท้อนออกมาถึงสรีระของผู้หญิง ต้าอธิบายว่า หากสังเกตบริเวณส้นรองเท้าดี ๆ จะพบว่าคล้ายกับรูปร่างโค้งเว้าของผู้หญิงตั้งแต่บริเวณสะโพกไปจนถึงข้อเท้า สีที่เลือกใช้คือสีทองสำริดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรายละเอียดอันโดดเด่นของชุดไทยอย่างการปักดิ้นทอง สีทองสำริดจึงไม่ใช่สีทองที่ฉูดฉาด เมื่อมาอยู่กับชุดไทยจะช่วยส่งเสริมให้สาวงามดูหรูหราสง่างามเข้ากับผ้าไทยยิ่งขึ้น จึงออกมาเป็นรองเท้าที่มีชื่อรุ่นว่า Selena Heels

ส่วนรองเท้าที่ใช้ในรอบ preliminary ทางทีมงานกองประกวดให้โจทย์ว่า ต้องการรองเท้าที่มีสีกลมกลืนกับผิวของผู้สวมใส่ จากการทำรีเสิร์ชผู้เข้าประกวดเพื่อเทียบเคียงสีผิวแล้ว O&B จึงทำออกมาสองเฉดสี ได้แก่ สีนู้ดอมชมพูและสีนู้ดอมเหลืองมีชื่อรุ่นว่า Angle Crystal Heels

“ต้ามองว่าคนสวยขนาดนี้ต้องเป็นนางฟ้ามาเกิดจึงตั้งชื่อว่า Angle Crystal Heels แล้วเราก็ตีความว่านางงามคือดวงดาวบนท้องฟ้าที่ส่องแสงระยิบระยับเหมือนคริสตัล เราทำมาให้นางงามใส่กับชุดว่ายน้ำดังนั้นลุกต้องดูสปอร์ตี้มากขึ้น รองเท้าจึงเสริมความเป็นสปอร์ตี้เข้าไปด้วยดีไซน์แถบใส ๆ ที่เปรียบเสมือนคริสตัล ตรงนี้ก็พอดีกับเรื่องของฟังก์ชั่นด้วยทำให้เวลาใส่จะสบายขึ้น สีนู้ดที่ออกแบบจะกลืนไปกับผิวเหมือนเขาไม่ได้ใส่รองเท้าแต่ลอยอยู่ก็เข้ากับคอนเซ็ปต์รองเท้าของนางฟ้า”

ความพิเศษของการออกแบบรองเท้าในครั้งนี้ทวีคูณขึ้นไปอีกเมื่อต้า-รรินทร์บอกว่า รองเท้าทั้งสองแบบจัดอยู่ใน runway collection ที่ไม่ได้มีไว้เฉพาะให้นางงามใส่เท่านั้น แต่ยังเปิดขายให้กับลูกค้าที่สนใจอีกด้วย

นับเป็นโอกาสที่ถูกที่ถูกเวลาสำหรับ O&B ในขณะที่เธอกำลังมองหาลู่ทางในการขยายไลน์สินค้า ด้วยความที่มีลูกค้าเรียกร้องให้ทำรองเท้าส้นสูงออกมาบ้าง ขณะเดียวกันการที่ O&B ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของเวทีมิสยูนิเวิร์ส ก็ยิ่งเป็นการส่งเสริมทั้งการต่อยอดแบรนด์และภาพลักษณ์ของประเทศไทยผ่านการประกวดครั้งนี้อีกด้วย

“เวทีนี้มีความหมายต่อเราและคนไทยมาก เวลามิสยูนิเวิร์สทำอะไรใส่อะไรก็จะเป็นเทรนด์เซตเตอร์ให้กับผู้หญิงทั่วโลก เรามองว่าปีหน้าทุกเวทีทั่วโลกจะใส่รองเท้าแบบ O&B ที่ใส่ขึ้นเวทีในครั้งนี้ มันจะเป็นการปฏิวัติทรงรองเท้าทั้งหมดที่คนจะใส่ไปเลย”

กว่าจะมาเป็น “ต้า O&B” ดีไซเนอร์พ่วงตำแหน่งนักธุรกิจร้อยล้านอย่างทุกวันนี้ ต้าเล่าว่าตั้งแต่เรียนจบเธอทำงานมาแทบทุกอย่างทั้งเด็กเสิร์ฟ งานโรงแรม เออี ผู้ช่วยออร์แกไนซ์ ขายเสื้อผ้าเด็ก ขายของมือสอง จนมาถึงการเข้าสู่เส้นทางธุรกิจอย่างจริงจังด้วยการเลือกทำกระเป๋าเป็นสินค้าแรกสุด เพราะไม่ต้องสต๊อกของเยอะเหมือนรองเท้า เมื่อสินค้าเบอร์แรกของร้านอยู่ตัวแล้วจึงเริ่มแตกไลน์สินค้าอื่น ซึ่งเป็นที่มาของรองเท้าบัลเลต์ 50 สีในตำนานและชื่อ O&B หรือ OTHERANDBOOK

“ต้าอาจจะโชคดีที่จับตลาดถูก ทำสิ่งที่อยากใช้ก็คิดว่าน่าจะทำได้ดี ที่สำคัญเราต้องเข้าใจสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการ จำลองตัวเองเป็นผู้บริโภคเพื่อให้เข้าใจจริง ๆ ว่าเขาต้องการอะไร ส่วนชื่อแบรนด์คำว่า BOOK มาจากการที่แบรนด์เราเริ่มขายสินค้าในเฟซบุ๊ก OTHER หมายถึง เราขายสินค้าอื่น ๆ นอกจากกระเป๋าด้วยซึ่งก็คือ รองเท้า เลยออกมาเป็น OTHERANDBOOK หรือที่ทุกคนเรียกกันติดปากว่า O&B”

จากการตัดสินใจขยายไลน์สินค้าในครั้งนั้นได้สร้างจุดพลิกผันให้กับโอแอนด์บีไปตลอดกาล

“ต้าจับจุดได้อย่างหนึ่งคือ ผู้หญิงเป็นโรคแพ้สี เห็นสีสันมารวมกันเยอะ ๆ ก็จะรู้สึกว่าสิ่งนี้น่ารักน่าสนใจ” ซึ่งเธอก็คิดถูกเพราะรองเท้าบัลเลต์ 50 เฉดสีได้กลายเป็นภาพจำของ O&B และส่งให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นปรากฏการณ์สินค้าหลากเฉดสีและขยายความนิยมในการผลิตสินค้าลักษณะนี้ไปยังแบรนด์อื่น ๆ อีกมากมาย

แม้จะประสบความสำเร็จอย่างมาก แต่ต้า-รรินทร์ก็เคยพบกับช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นกัน เธอบอกว่า ช่วงแรก ๆ ที่ยอดขายดีและทำเงินได้วันละหลายล้าน แต่กำไรกลับไม่เคยเหลือ ซึ่งก็มีสาเหตุจากการที่ตัวเธอเองไม่เคยเข้าไปควบคุมเรื่องบัญชีและการใช้จ่ายของร้านเนื่องจากไม่มีความรู้เรื่องตัวเลขมาก่อน “ขายดีจนเจ๊ง” เธอให้คำนิยามในขณะนั้น

ผ่านทั้งเหตุการณ์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดและแย่ที่สุดแถมยังทำงานมาทุกอย่างถึงขนาดที่เธอบอกว่า

“ถ้าได้เงินแล้วสุจริตไม่ผิดศีลธรรมต้าทำหมด” อะไรเป็นแรงผลักดันที่ทำให้เธอเป็นคนสู้งาน ขยัน และอดทนขนาดนี้ เจ้าตัวบอกว่า ตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ ก็เริ่มเกิดความคิดว่า อยากหาเงินใช้เอง ในขณะที่ต้าเกิดมา

ในครอบครัวที่พ่อแม่ทำงานประจำและประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างมาก แม้เธอจะออกมาหางานพิเศษทำทั้งที่ครอบครัวก็มีกำลังทรัพย์มากเพียงพออยู่แล้ว แต่ทางครอบครัวก็ไม่ได้ห้ามและพร้อมจะสนับสนุนเธอในทุก ๆ ด้าน

“เราอาจจะไม่ใช่คนที่เรียนได้เอตลอด แต่เราชอบทำอะไรที่ได้เงิน มองหาลู่ทาง ไม่ชอบอยู่เฉย ๆ คุณแม่เคยพูดว่า คนเราต้องทำงาน คุณค่าของคนอยู่ที่การทำงานก็เป็นตัวปลูกฝังว่าเราอยู่นิ่ง ๆ ไม่ได้ สิ่งที่ต้ารู้สึกภูมิใจกับตัวเองทุกวันนี้คือ ต้าทำให้ตัวเองมีประโยชน์ คุณพ่อคุณแม่จะสอนว่าต้องทำได้ดีในหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเองเสมอ”

เธอเล่าต่อว่าสิ่งเดียวที่ครอบครัวกังวลคือ การออกมาทำธุรกิจเต็มตัวเพราะการทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย ซึ่งการที่เธอมาถึงจุดนี้ได้ต้าบอกว่า ขอยกเครดิตให้กับคำสอนของครอบครัวทั้งหมด

“พ่อแม่ไม่สปอยลูก แต่ซัพพอร์ตการศึกษาอย่างมาก ปลูกฝังให้เราเป็นคนจริงจังอดทน สิ่งสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จเลยคือ ต้าไม่เหยาะแหยะ พูดจริงทำจริง อันนี้จะทำคือทำ ไม่ทำก็คือไม่ทำ ต้าไม่หยุมหยิม ไม่นั่งคิดเล็กคิดน้อย ทำให้งานเดินเร็ว ไม่จุกจิกกับเรื่องไร้สาระ และต้ากล้าคิด ถ้าคิดแล้วว่าฉันต้องทำ ก็จะพยายามส่งตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ ฉะนั้นสำหรับต้าคือ ต้องกล้าคิดก่อนแล้วค่อยวางแผนทำตามสเต็ปไปเรื่อย ๆ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สอนและต้าก็นำมาใช้ในการทำงานตลอด”

“คนที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ ไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดแต่คือคนที่รับมือได้ดีที่สุด” น่าจะเป็นประโยคที่ขมวดเส้นทางของต้า-รรินทร์ได้ครบที่สุด เมื่อเราถามถึงกระแสความนิยมการทำธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันซึ่งเธอได้ทิ้งท้ายว่า คุณสมบัติหนึ่งที่ต้องมีติดตัวอยู่เสมอก็คือ ความอดทนในการพยุงตัวเองไม่ให้จมไปกับปัญหาและข้ามผ่านไปให้ได้ ซึ่ง O&B สามารถทำได้