“พาณิชย์” เผยคณะทำงานส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคไทย-จีน เร่งหาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้า

“พาณิชย์” เผยคณะทำงานส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคไทย-จีน เร่งหาแนวทางเพิ่มมูลค่าการค้าสู่เป้าหมาย 140,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี’64
นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม เปิดเผยว่า หลังจากที่การประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยการค้า การลงทุน และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างไทย – จีน (JC) ครั้งที่ 6 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2561 โดยมีรองนายกรัฐมนตรีของไทย (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) และมนตรีแห่งรัฐของจีน (นายหวัง หย่ง) เสร็จสิ้นลง และที่ประชุมได้ตกลงที่จะเพิ่มเป้าหมายการค้าของสองประเทศเป็น 140,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564 จากเดิมที่เคยตั้งไว้ 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563
 
รวมทั้งยังมีการลงนาม MOU ระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ของไทย (นายสนธิรัตน์. สนธิจิรวงศ์). และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน (นางเกา เยี่ยน) เพื่อจัดตั้ง Working group on Unimpeded Trade. (คณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรค)นั้น
 
ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 สค.2561 ไทยได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมคณะทำงานเพื่อส่งเสริมการค้าอย่างไร้อุปสรรคโดยมีอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (นางอรมน. ทรัพย์ทวีธรรม) และรองอธิบดี กรมการค้าระหว่างประเทศของจีน ( Mr. Liu Changyu )เป็นประธานร่วม ณ โรงแรมโอเรียนเต็ลกรุงเทพฯ
 
ที่ประชุมคณะทำงาน ได้หารือแนวทางเพื่อขยายการค้าให้บรรลุเป้าหมาย 140,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2564 ตามที่ JC ครั้งที่ 6 ได้ตั้งเป้าไว้ โดยเห็นว่าแนวทางที่ควรจะร่วมกันดำเนินการเพื่อเพิ่มมูลการค้า จาก 73,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2560ให้บรรลุเป้าหมาย 2 เท่าใน 4 ปีข้างหน้า
 
โดยสองฝ่ายจะเร่งขยายความร่วมมือด้านการค้าสินค้าเกษตร โดยเฉพาะสินค้าผักผลไม้ อาหาร และสินค้าฮาลาลโดยไทยได้ขอให้จีนอำนวยความสะดวกสินค้าผัก และผลไม้ของไทยเข้าสู่ตลาดจีน เพิ่มเติมจากตลาดเมืองหลักในปัจจุบัน. เช่น เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง กว่างโจว ให้ขยายไปเมืองใหม่ๆ มลฑลใหม่ๆ เช่น เฉิงตู ฉงชิง ซีอาน ซินเจียง ชิงต่าว เป็นต้น รวมทั้งขอให้จีนอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการไทยให้สามารถเข้าถึงข้อมูล กฏระเบียบทางการค้าของจีน ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะข้อมูลระดับมณฑล เนื่องจากมณฑลต่างๆ ของจีนยังมีการกำหนดกฎระเบียบทางการค้าที่ต่างกันไป และเพิ่มเติมจากข้อกำหนดของรัฐบาลกลาง
 
นางอรมน ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ทั้งสองฝ่ายยังหารือเรื่องการส่งเสริมให้เอกชนไทยและจีนเข้าร่วมงานแสดงสินค้า และกิจกรรมส่งเสริมการค้าระหว่างกัน โดยจีนได้เชิญไทยเข้าร่วมงานแสดงสินค้านำเข้า China International Import Expo ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่เซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นงานแสดงสินค้านำเข้าครั้งใหญ่ตามนโยบายของประธานาธิบดีจีนที่สนับสนุนให้เพิ่มการนำเข้า
 
นอกจากนั้นยังได้หารือเรื่องการแก้ไขอุปสรรคทางการค้า โดยไทยได้ขอให้จีนเร่งรัดเดินทางมาตรวจโรงงานข้าวและผลิตภัณฑ์ที่ไทยได้ยื่นขอให้ตรวจสอบไว้และยังเหลือค้างอยู่อีก 54 ราย(จากที่จีนได้ตรวจขึ้นทะเบียนให้ไทยแล้ว 49 โรงงาน) เพื่อให้โรงสีข้าวไทยที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน และผ่านการตรวจสอบ มีโอกาสส่งออกไปจีนได้
 
นางอรมนเสริมว่า ในการประชุมครั้งนี้ ไทยได้ขอให้จีนอนุญาตให้นำเข้ารังนกแดงจากไทย ซึ่งกรมปศุสัตว์ของไทยได้ทำการตรวจสอบแล้วว่าปลอดภัยต่อการบริโภค เพิ่มเติมจากที่จีนให้นำเข้ารังนกขาวจากไทย
 
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังได้หารือ เพื่อหาแนวทางป้องกัน ไม่ให้มีการนำชื่อสามัญไปจดทะเบียนคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา โดยไทยได้ยกตัวอย่างกรณีมีผู้ประกอบการจีนนำชื่อหมอนทอง ซึ่งเป็นชื่อสามัญ ไปขอจดเครืรองหมายการค้าในจีนฝ่ายไทยได้ขอให้จีนปฏิเสธ และไม่รับจดชื่อดังกล่าวเป็นเครื่องหมายการค้าเพื่อปฏิบัติตามหลักการสากลของการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาโลก
 
ในโอกาสนี้ ไทยยังได้ขอให้จีนเร่งรัดพิจารณาขึ้นทะเบียนสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ไทย 3 รายการ คือ ส้มโอทับทิมสยามปากพนัง มะขามหวานเพชรบูรณ์ และข้าวหอมมะลิทุ่งกุลาร้องไห้ ที่ได้ยื่นขอไว้แล้วด้วย
 
ทั้งนี้ ปัจจุบัน จีนเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทย โดยจีนเป็นทั้งตลาดส่งออกและแหล่งนำเข้าอันดับ 1 ในขณะที่ไทยเป็นตลาดส่งออกลำดับที่ 15 และเป็นตลาดนำเข้าลำดับที่ 10 ของจีน ในปี 2560 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่ารวม 73,670.43 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2559 11.9% และในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 การค้าระหว่างไทยกับจีนมีมูลค่า 39,395.63 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 12.97 %