นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และองค์การเภสัชกรรม เพื่อแก้ไขปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลนในช่วงที่ไวรัสโคโรนาระบาดว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกับให้จัดตั้งศูนย์บริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดยมีอธิบดีกรมการค้าภายใน เป็นประธานศูนย์ เพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ จัดสรร ประสานกับโรงงานผู้ผลิตในการกระจายหน้ากากอนามัยให้เพียงพอกับความต้องการใช้ของประชาชนในประเทศและให้ขายในราคาที่เป็นธรรม
โดยศูนย์ดังกล่าวจะทำหน้าที่จัดสาร กระจายหน้ากากไปให้ผู้ที่จำเป็น โดยแบ่งงานในความรับผิดชอบ กรมการค้าภายในจะเป็นหน่วยที่จัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับ ผู้ให้บริการสาธารณะทั่วไป และประชาชนเพื่อให้มีหน้ากากอนามัยเพียงพอต่อการใช้ ขณะที่ในส่วนของโรงพยาบาลรัฐและเอกชน องค์การเภสัชกรรมและอย.จะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการจัดสรรหน้ากากอนามัยให้กับหน่วยงานดังกล่าว โดยจะดำเนินการจัดสรรให้กับกลุ่มที่มีความจำเป็นก่อนในเบื้องต้น
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- เงื่อนไขปุ๋ยลดราคาเฟส 2 สูตรไหน-พืชชนิดใดบ้าง
ส่วนการดูแลเรื่องของการส่งออก จะจำกัดปริมาณการส่งออก ซึ่งจะดำเนินการตามที่ประกาศไปก่อนหน้านี้โดยผู้ที่จะส่งออก 500 ชิ้นขึ้นไปจะต้องทำการอนุญาตกรมการค้าภายในเพื่อการส่งออก สำหรับกรณีที่มีการอ้างว่าส่งออกเพื่อนำไปบริจาค จากการตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพบว่า ไม่ได้ทำการบริจาคจริงแต่เป็นการขายเพื่อทำกำไรซึ่งพบว่าสูงถึง 2-3 เท่าตัว กรณีนี้ จะดำเนินการระงับการส่งออกทันที
“การส่งออกกรมฯจะดำเนินการตามมาตรฐาน อย่างเช่น ประเทศใกล้เคียงที่ขณะนี้พบว่าไต้หวันได้ระงับการส่งออกหน้ากากอนามัย หรือแม้กระทั่งญี่ปุ่น โดยกรมฯจะให้ความสำคัญในการใช้ภายในประเทศให้มีความเพียงพอ ก่อน แต่สำหรับกรณีที่ผู้ส่งออกมีคำสั่งซื้อมาก่อนหน้านี้อาจจะพิจารณาเป็นรายกรณีไปเพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย”
สำหรับการรายงานสต๊อกของผู้ประกอบการผู้ผลิตผู้นำเข้าในเรื่องของปริมาณราคาของหน้ากากอนามัยขณะนี้มีการรายงานเข้ามาเป็นที่เรียบร้อยกรมการค้าภายในอยู่ระหว่างการสรุปผลข้อมูลพร้อมกันนี้สำหรับผู้ขายออนไลน์จำเป็นจะต้องมีการรายงานสต๊อกมาด้วยเช่นกันอีกครั้งการจำหน่ายราคาจะต้องชี้แจงไม่ขายเกินราคา เกินไปหากพบจะดำเนินการทาง พรบว่าด้วยราคาสินค้าและบริการซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 7 ปีปรับไม่เกิน 140,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ พร้อมกันนี้ทางหน่วยงานที่ดูแลในเรื่องของการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีก็จะเข้าดำเนินการตรวจสอบด้วยเช่นกัน
ล่าสุดกรมการค้าภายใน จัดเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เขต กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงระหว่างวันที่ 5-6 ก.พ. 2563 เข้าตรวจสอบจำนวน 218 ราย ปรากฏว่ามีผู้กระทำผิดตามที่มีการร้องเรียนจริง เพิ่มจำนวน 8 ราย รวม ตั้งแต่วันที่ 1 -7 กุมภาพันธ์ 2563 ดำเนินการทางคดีแล้ว 10 ราย ในเขตพื้นที่ที่พบ เช่น ลาดกระบัง ประเวศ ราชเทวี บางรัก พญาไท สัมพันธวงศ์ และพื้นที่นนทบุรี รวมไปถึงในบริเวณตลาดนัดกระทรวงพาณิชย์ โดยพฤติกรรมที่ตรวจสอบมีการขายหน้ากากสูงเกินสมควร สร้างความปั่นป่วนในราคาซื้อขายและมีบางรายมีสินค้าแต่ปฏิเสธการขาย แต่จะขายให้ในราคาที่ต้องการ พร้อมดำเนินการจัดส่งเรื่องให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีต่อไป