จุรินทร์ ชี้ ไบเดนชนะ ช่วยการค้าทั่วโลกผ่อนคลาย ขอเวลาศึกษา CPTPP

จุลินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

จุรินทร์ ชี้ โจ ไบเดน ชนะเลือกตั้ง การค้าทั่วโลกผ่อนคลายมากขึ้น อานิสงส์การค้าไทย ด้านพาณิชย์จับมือเอกชนดันการค้า การส่งออก ทั้งปี เชื่อว่าติดลบ 5% ขณะที่ส่งออกปี 2564 มอง ขยายตัว 4%

วันที่ 9 พฤศจิกายน 2563 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงยุทธศาตร์กระทรวงพาณิชย์ รองรับหลังการเปลี่ยนประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ว่า สำหรับผลการเลือกตั้งสหรัฐอเมริกา นายโจ ไบเดน ชนะการเลือกตั้งมองว่า นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐนั้น มองว่าสงครามการค้าสหรัฐ-จีน จะยังคงมีต่อเนื่องแต่เชื่อว่าจะมีลักษณะที่ผ่อนคลายขึ้นจากก่อนหน้านี้

ขณะที่ แนวคิดการใช้เงื่อนไข สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (จีเอสพี) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (เอดี) มาตรการปกป้อง (เซฟการ์ด) ที่สหรัฐจะใช้ปกป้องการค้าในประเทศเชื่อว่ายังคงมีแต่จะผ่อนคลายมากขึ้น ซึ่งเป็นผลต่อต่อการค้าทั่วโลกรวมไปถึงประเทศไทย

ทั้งนี้ มองว่านายโจ ไบเดน ที่ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนอกจากมาตรการทางการค้าหลายๆ ด้านจะมีความผ่อนคลายแล้ว ยังมองว่า การเจรจาการค้าระหว่างประเทศระดับพหุภาคี สหรัฐจะเดินหน้าเจรจาในกรอบต่างๆ มากขึ้น เช่น WTO การเดินหน้าเจรจาในกรอบ CPTPP กรอบเจรจาในกรอบข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ในประเทศต่างๆ

โดยอาจจะมีการเพิ่มเงื่อนไขที่สหรัฐให้ความสำคัญเข้ามาเจรจาต่อรองมากขึ้น เช่น เรื่องของแรงงาน สิ่งแวดล้อม ทรัพย์สินทางปัญญา สิทธิมนุษยชน ที่จะเข้ามาเป็นเงื่อนไขในการเจรจากรอบต่างๆมากขึ้น

“เงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ โดยเฉพาะในกรอบ CPTPP ซึ่งกรรมาธิการได้ให้ความเห็นว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเตรียมความพร้อม ในทุกด้านก่อนที่จะมีการพิจารณาเข้าร่วมในกรอบสำคัญ เช่น CPTPP โดยอย่างไรประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาตัวเองเพื่อการตัดสินในในอนาคต ถึงการเจรจากรอบต่างๆ”

สำหรับผลดีภายหลังการเลือกตั้งเชื่อว่าการค้าโลกจะมีทิศทางที่ดีขึ้นซึ่งก็ส่งผลดีต่อประเทศไทยด้วย ซึ่งลักษณะการค้าทั่วโลกจะผ่อนคลายมากขึ้น และการนำเข้าวัตถุดิบของไทยในตลาดจีนเพื่อผลิตสินค้าเพื่อการส่งออกไปสหรัฐก็จะไปในทางที่ดี เชื่อว่าการส่งออกไทยจะขยายตัว จากปัญหาสงครามการค้าผ่อนปรนมากขึ้น การเดินหน้าด้านการเจรจาพหุภาคีไทยก็จะมีโอกาสเปิดเจรจาได้

อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องเดินหน้าจากนี้ไปสำหรับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์ พร้อมที่จะร่วมมือกับภาคเอกชนในการร่วมผลักดันการค้า การส่งออก รวมไปถึงการหารือร่วมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านการพาณิชย์ (กรอ.พาณิชย์)

อีกทั้งการร่วมมือกับประเทศในกลุ่มอาเซียนในการเจรจาต่อรองทางการค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐฯ การปรับรูปแบบการค้า การส่งออก ให้ความสำคัญตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้น โดยเฉพาะสหรัฐ ซึ่งมีแพลตฟอร์มสำคัญ เช่น อเมซอน ซึ่งประเทศไทยอาจจะต้องเปิดร้านค้าบนแพลตฟอร์มดังกล่าวมากขึ้น เพื่อขยายตลาดการค้า การส่งออก

สำหรับสหรัฐปี 2562 ที่ผ่านมา สหรัฐถือว่าเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทย รองจากอาเซียน จีน และญี่ปุ่น ขณะที่มูลค่าการส่งออก 9 เดือนแรกของปี (มกราคม-กันยายน 2563) ไทยส่งออกไปสหรัฐอยู่ที่ 7.9 แสนล้านบาท ขยายตัว 14.7% ของมูลค่าส่งออกรวมของไทย สินค้าที่ส่งออกสำคัญ เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร ของใช้ภายในบ้าน คอมพิวเตอร์ ถุงมือยาง เป็นต้น

นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยว่า ภาพการส่งออกไทยทั้งปี 2563 นี้ จากที่ประเมินว่าการส่งออกทั้งปี ติดลบ 7% แต่กรมฯมองว่าจากภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นส่งผลให้การส่งออกไทยขยายตัวมากขึ้น เชื่อว่าการส่งออกทั้งปีของไทนน่าจะติดลบน้อยลง คาดว่าทั้งปีน่าจะติดลบอยู่ที่ ติดลบ 5% ถึง ติดลบ 6% ขณะที่ ภาพการส่งออกทั้งปี 2564 เชื่อว่าการส่งออกจะกลับมาขยายตัวเป็นบวกโดยทั้งปี เชื่อว่า ขยายตัวอยู่ที่ 4%