CEO Survey ส.อ.ท. 88% ชี้ ราคาพลังงานพุ่ง กระทบต้นทุนการผลิต

โรงไฟฟ้า
FILE PHOTO : Bild von alyoshine auf Pixabay

ส.อ.ท.เปิดผลสำรวจ CEO Survey กลุ่มตัวอย่าง กว่า 80% ชี้ ราคาพลังงานพุ่งกระทบต้นทุนการผลิตขึ้น-โลจิสติกส์ เสนอรัฐตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 พร้อมปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงานชั่วคราว 3-6 เดือน ลดภาระผู้ประกอบการ

วันที่ 28 ตุลาคม 2564 นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 11 ในเดือนตุลาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ราคาพลังงานพุ่งแรง กระทบภาคอุตสาหกรรมแค่ไหน?”

ผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรมในระดับปานกลางถึงมาก โดยเฉพาะในเรื่องต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้น

ดังนั้นจึงเสนอให้ภาครัฐช่วยบรรเทาผลกระทบดังกล่าว ด้วยการตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 รวมถึงการปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3-6 เดือน เพื่อลดภาระให้แก่ผู้ประกอบการ และดำเนินนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในระยะยาว

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด จำนวน 7 คำถาม ดังนี้

1.ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมระดับใด

  • อันดับที่ 1 : กระทบปานกลาง 49.3%
  • อันดับที่ 2 : กระทบมาก 38.0%
  • อันดับที่ 3 : กระทบน้อย 12.7%

2.ปัจจัยใดที่ส่งผลกระทบให้ราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นในปัจจุบัน

  • อันดับที่ 1 : นโยบายการผลิตน้ำมันของประเทศกลุ่มผู้ผลิตน้ำมัน 76.7%
  • อันดับที่ 2 : การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ส่งผลทำให้อุปสงค์ด้านพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 68.7%
  • อันดับที่ 3 : ความผันผวนของค่าเงิน และภาวะเงินบาทอ่อนค่า 53.3%
  • อันดับที่ 4 : อุปสงค์ด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากการเข้าสู่ฤดูหนาวในกลุ่มประเทศฝั่งตะวันตก 51.3%

3.ปัจจุบันต้นทุนด้านพลังงานของธุรกิจท่านคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับต้นทุนในการประกอบการ

  • อันดับที่ 1 : ต้นทุนด้านพลังงาน 10-20% สัดส่วนความคิดเห็น 46.0%
  • อันดับที่ 2 : ต้นทุนด้านพลังงาน น้อยกว่า 10% สัดส่วน 24.0%
  • อันดับที่ 3 : ต้นทุนด้านพลังงาน 30-50% สัดส่วน 20.0%
  • อันดับที่ 4 : ต้นทุนด้านพลังงาน มากกว่า 50% สัดส่วน 10.0%

4.แนวโน้มราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจในเรื่องใด

  • อันดับที่ 1 : ต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการปรับตัวสูงขึ้น 88.0%
  • อันดับที่ 2 : ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งและโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น 84.0%
  • อันดับที่ 3 : เกิดภาวะเงินเฟ้อ และกระทบต่อกำลังซื้อ/การบริโภคของภาคเอกชน 34.0%
  • อันดับที่ 4 : ขาดแคลนวัตถุดิบจากจีน จากภาวะขาดแคลนพลังงาน 25.3%

5.ภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : ตรึงราคาค่าไฟฟ้า (FT) จนถึงสิ้นปี 2564 สัดส่วนความคิดเห็น 66.0%
  • อันดับที่ 2 : ปรับสูตรและโครงสร้างราคาพลังงาน ชั่วคราว 3 – 6 เดือน เพื่อลดภาระผู้ประกอบการ 56.7%
  • อันดับที่ 3 : จัดสรรงบประมาณหรือใช้เงินกองทุน เพื่อชดเชยและตรึงราคาพลังงานทุกประเภท 54.0% อันดับที่ 4 : ลดอัตราภาษีสรรพสามิต ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อลดราคาขายปลีกน้ำมัน LPG และ NGV 53.3%

6.ภาครัฐควรดำเนินนโยบายด้านพลังงานในระยะยาวอย่างไร เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และลดผลกระทบจากราคาพลังงานที่ผันผวน

  • อันดับที่ 1 : ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล 74.7%
  • อันดับที่ 2 : ส่งเสริมการประหยัดพลังงาน และนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 72.7%
  • อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้เป็นธรรมแก่ผู้ใช้ไฟฟ้าและความร้อน 64.0%
  • อันดับที่ 4 : ส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า 44.0%

7.ภาคอุตสาหกรรมควรมีการปรับตัวรับมือกับราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างไร

  • อันดับที่ 1 : นำเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้เพื่อลดและประหยัดพลังงาน 77.3%
  • อันดับที่ 2 : นำระบบการบริหารจัดการพลังงานมาใช้ ปรับแผนการผลิตและโลจิสติกส์เพื่อลดต้นทุน 73.3%
  • อันดับที่ 3 : การใช้พลังงานหมุนเวียนภายในโรงงาน หรือผลิตไฟฟ้าใช้เอง เช่น Solar cell, Biogas, Biomass 71.3%
  • อันดับที่ 4 : สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์พลังงานและเทคนิคการใช้พลังงานอย่างประหยัด 59.3%