MTC ไม่หวั่น สคบ. คุมเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อรถ เชื่อไม่กระทบธุรกิจ

บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC)

MTC ไม่กังวล สคบ. คุมเพดานดอกเบี้ยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ไม่เกิน 23% มั่นใจไม่กระทบธุรกิจ เหตุเน้นปล่อยสินเชื่อที่มีหลักประกันกว่า 80% ขณะที่ยอดสินเชื่อเช่าซื้อมีเพียง 5% ของพอร์ตรวม ย้ำผลงานปีนี้พอร์ตสินเชื่อเติบโตตามเป้าหมาย 30%

วันที่ 5 ตุลาคม 2565 นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) (MTC) เปิดเผยว่า กรณีการประกาศควบคุมเพดานอัตราดอกเบี้ยธุรกิจลีสซิ่งเช่าซื้อรถจักรยานยนต์และรถยนต์ โดยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.พิจารณาปรับเพดานอัตราดอกเบี้ย ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่ ไม่เกิน 23% รถยนต์มือหนึ่ง ไม่เกิน 10% และรถยนต์มือสอง ไม่เกิน 15% เพื่อกำกับดูแลการประกอบธุรกิจลีสซิ่งนั้น บริษัทไม่ได้รู้สึกกังวลกับประกาศปรับเพดานอัตราดอกเบี้ยในครั้งนี้ เนื่องจากไม่ได้ส่งผลกระทบกับธุรกิจมากนัก

โดยปัจจุบันสินเชื่อหลักของบริษัท ยังคงเน้นไปที่การปล่อยประเภทสินเชื่อที่มีหลักประกันที่มีพอร์ตสินเชื่อมากกว่า 80% ขณะที่ประเภทสินเชื่อเช่าซื้อรถนั้น บริษัทเปิดให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์มือหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคิดดอกเบี้ยประมาณ 23% อยู่แล้ว จะเห็นว่าอยู่ในระดับเดียวกับเพดานอัตราดอกเบี้ยที่ สคบ.พิจารณากำหนด อีกทั้งพอร์ตสินเชื่อดังกล่าว ขณะนี้มีเพียง 5% จะเห็นว่าสัดส่วนพอร์ตสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ

ขณะเดียวกัน การปรับเพดานดอกเบี้ยธุรกิจลีสซิ่ง ไม่ได้กระทบต้นทุนการดำเนินธุรกิจลีสซิ่งของบริษัทแต่อย่างใด ประกอบกับบริษัทได้วางแผนรับมือการบริหารจัดการต้นทุนการดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว มั่นใจได้ว่า สามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินธุรกิจได้ และล่าสุดบริษัทจับมือกับพันธมิตรชั้นนำระดับโลก 2 แห่ง ได้แก่ องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (JICA) และ ธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (SMBC) สนับสนุนวงเงิน 6,200 ล้านบาท ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางการเงินให้บริษัท พร้อมเดินหน้าลุยปล่อยสินเชื่อแก่ลูกค้า

สำหรับแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในช่วงที่เหลือของปี 2565 ยังอยู่ในทิศทางที่ดี หลังบรรยากาศทางเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น และสถานการณ์ของโรคโควิด-19 คลี่คลาย ส่งผลให้ความต้องการสินเชื่อเพื่อการลงทุนในธุรกิจต่าง ๆ ขยายตัวตามไปด้วย ทำให้มั่นใจว่าในปีนี้พอร์ตสินเชื่อรวมจะเติบโตประมาณ 30% เมื่อเทียบกับปี 2564 ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้