คอลัมน์ : ระดมสมอง ผู้เขียน : ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา facebook : Narun on Fintech Law
สวัสดีครับ มาพบกับอนาคตของเงิน เดอะซีรีส์ กันอีกครั้ง โดยขอเท้าความไปถึงความสำคัญของเงินที่ผลิตและบริหารโดยรัฐ หรือ state money (ในประเทศไทยคือเงินบาทนั่นเอง) ว่าเป็นกลไกสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่ช่วยให้บุคคลลดต้นทุนในการทำธุรกรรม เมื่อทุกคนในประเทศใช้เงินสกุลเดียวกัน ก็จะได้ประโยชน์จากพลังของเครือข่าย หรือ network effect ของเงินสกุลเดียวที่รัฐสนับสนุน
จึงมีกฎหมายกำกับ ดูแล และควบคุมเงินของรัฐมากมาย เช่น พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินพุทธศักราช 2485 และพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. 2551 เป็นต้น
- ด่วน ! วอยซ์ ทีวี ประกาศปิดกิจการทุกแพลตฟอร์ม เลิกจ้าง 100 กว่าคน
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- NETA X ขาย มิ.ย.นี้ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท หลัง MOU สรรพสามิต
ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้นนะครับที่มีกฎหมายลักษณะนี้ แต่ประเทศต่าง ๆ ก็มีกฎหมายในลักษณะคล้าย ๆ กัน
ด้วยเหตุผลดังกล่าว หากเงินดิจิทัลเอกชนจะสามารถเข้ามาแทนที่เงินของรัฐได้อย่างสมบูรณ์ จะต้องสามารถทำหน้าที่แทนเงินของรัฐ หรือทำได้ดีกว่า โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณา 3 เรื่องดังต่อไปนี้
ประการแรก เงินดิจิทัลเอกชนต้องสามารถช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมของบุคคลได้ดีเท่าหรือมากกว่าเงินของรัฐ เช่น มีวิธีการหรือกระบวนการในการสืบราคาและชำระราคา (price discovery and settlement) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเงินของรัฐ
ประการที่สอง เงินดิจิทัลเอกชนต้องมีกระบวนการระงับข้อพิพาทที่สะดวก รวดเร็ว และเป็นธรรมมากกว่าระบบกระบวนการยุติธรรม กล่าวคือมีต้นทุนในการสืบค้นพยานหลักฐาน ต้นทุนในการฟ้องร้อง ต้นทุนในการบังคับคดี ที่ต่ำกว่าการดำเนินคดีโดยเจ้าพนักงานและศาลยุติธรรมในปัจจุบัน
ประการที่สาม เงินดิจิทัลเอกชนที่จะเข้ามาแทนที่เงินของรัฐ ต้องสามารถดึงดูด หรือโน้มน้าวให้ประชาชนในสังคมหันมาใช้เงินสกุลดังกล่าวกันอย่างพร้อมเพรียง จนกลายเป็นเงินสกุลหลักของประเทศ เพื่อให้เกิด network effect ในลักษณะเดียวกับระบบเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเงินของรัฐได้
หากเงินดิจิทัลเอกชน ไม่ว่าจะเป็น stable coin สกุลใด หรือสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ครบถ้วนทั้งสามประการที่ผมนำเสนอไว้ข้างต้น ก็อาจจะกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพื่อแทนที่เงินของรัฐ ในการเป็นสื่อกลางในการซื้อขายแลกเปลี่ยน เป็นเครื่องมือเก็บสะสมความมั่งคั่ง และเป็นหน่วยร่วมทางเศรษฐกิจ เพื่อใช้ในการสืบและชำระราคาสินค้าและบริการก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี การจะหาเงินดิจิทัลเอกชนที่มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามประการไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ว่าจะเป็นด้วยเพราะข้อจำกัดด้านความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัล หรือเพราะความไม่แน่นอนด้านกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ เราอาจจะต้องหันกลับมาพิจารณาเลือกเดินทางสายกลาง และไม่จำเป็นต้องสร้างโลกที่เป็น binary หรือกำหนดหลักเกณฑ์ตายตัว ว่าต้องเลือกระหว่างระบบเศรษฐกิจเงินของรัฐ หรือระบบที่สร้างด้วยเงินดิจิทัลของเอกชน แต่ควรหาแนวทางที่เงินทั้งสองประเภทสามารถอยู่ร่วมกัน และสนับสนุนให้สังคมและเศรษฐกิจก้าวไปข้างหน้าได้ ด้วยการเติมเต็มช่องว่างหรือข้อด้อยของกันและกัน
หนทางดังกล่าวหน้าตาเป็นเช่นไร ผมขอเก็บไว้นำเสนอในตอนจบของซีรีส์ อนาคตของเงิน เจอกันตอนหน้าครับ