เมย์แบงก์-BNY ส่องเทรนด์ลงทุนโลกปี’66 จ่อขอไลเซนส์ใหม่ ก.ล.ต.

เมย์แบงก์บีเอ็นวาย เมลลอน ส่องเทรนด์ลงทุนโลกปี 2566 คาดเฟดขึ้นดอกเบี้ยปีนี้อีกแค่ 0.25-0.50% มองเศรษฐกิจสหรัฐ recession แบบ soft landing ยกตราสารหนี้น่าสนใจมากกว่าหุ้น เพิ่มน้ำหนักจัดพอร์ตเป็น 50-60% ไส้ในเน้นลงทุนพันธบัตรรัฐบาลหุ้นกู้สหรัฐ ผลตอบแทนจูงใจ 3-5%

แนะสินทรัพย์ทางเลือกติดพอร์ต 15% “เมย์แบงก์” จ่อขอไลเซนส์ใหม่ ก...บริหารกองทุนส่วนบุคคลเริ่มดำเนินการปีนี้ มองตลาดหุ้นไทยมีรูมให้เล่น ดาวน์ไซด์จำกัด มีสตอรี่เลือกตั้งจีนเปิดประเทศ ให้เป้าดัชนี SET Index สิ้นปี 1,720 จุด มีช่องว่างขึ้นไปได้อีกราว 7-8% ประเมิน PE ตลาดที่ 16.3 เท่า EPS ที่ 105.2 บาทต่อหุ้น

วันที่ 5 เมษายน 2566 นายคาร์เรน ชาง Head of Asia ex Japan Client Solution บีเอ็นวาย เมลลอน (BNY Mellon) พาร์ตเนอร์ชิป บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนเพื่อรับมือกับสถานการณ์โลกในปี 2566 ว่า ปีนี้ภาวะตลาดเงินและตลาดทุนโลกเริ่มมีสถานการณ์ดีขึ้น แม้ว่าในเดือน ..นักลงทุนจะเทขายทุกสินทรัพย์ แต่ในเดือน มี..ตลาดเริ่มกลับมาดีขึ้นในทุกสินทรัพย์ และดีต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี ประเมินจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) น่าจะใกล้จบแล้ว

เก็งเฟดขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25-0.50%

โดยคาดว่าเฟดน่าจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25-0.50% ในปีนี้ โดยจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน ..นี้ และจะหยุดดูสถานการณ์ก่อน หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังสูงอาจจะกลับมาขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ถ้าเงินเฟ้อลงในระดับที่เฟดพอใจอาจจะหยุดขึ้นดอกเบี้ยเลย

ตอนนี้มองเศรษฐกิจสหรัฐกรณี base case น่าจะเกิดภาวะถดถอย (recession) ข้อดีคือทุกคนคาดหวังว่าจะเกิดอยู่แล้ว จึงเตรียมตัวพร้อมรับมือ เห็นได้ว่าธุรกิจในอเมริกามีการลดคน ลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นมองว่า recession รอบนี้ผลที่เกิดไม่น่าจะแรง จึงมองลักษณะเป็น soft landing ทั้งนี้ความเสี่ยงสูงสุดในปีนี้ที่ต้องติดตามคือเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งจะมีผลต่อการจัดพอร์ตลงทุนอย่างมาก เห็นได้จากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้ว ทั้งวิกฤตแบงก์ล้ม, ปัญหารัสเซีย-ยูเครน เป็นต้น

มร.คาร์เรน ชาง
คาร์เรน ชาง

จัดพอร์ตเพิ่มน้ำหนัก “ตราสารหนี้”

ช่วงนี้ให้น้ำหนักพอร์ตลงทุนตราสารหนี้มากกว่าปกติ จากระดับ 40-50% ขยับขึ้นมาเป็น 50-60% และลดน้ำหนัก (underweight) หุ้นเล็กน้อย เหลือสัดส่วน 40-50% โดยไส้ในพอร์ตตราสารหนี้แนะนำให้ลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐหรือหุ้นกู้สหรัฐ ระดับลงทุน (investment grade) เพราะให้ผลตอบแทนน่าสนใจระดับ 3-5% โดยหุ้นกู้เน้นบริษัทที่มีคุณภาพ และมีสถานะการเงินแข็งแรง เช่น กลุ่มบิ๊กเทค เป็นต้น เพราะมองว่าเมื่อผ่านวัฏจักรเศรษฐกิจถดถอยไป บริษัทพวกนี้จะสามารถฝ่าคลื่นลมไปได้

นอกจากนี้ชื่นชอบตลาดหุ้นเอเชียมากสุด ถ้าเทียบกับตลาดสหรัฐ, อังกฤษ ที่ความน่าสนใจยังอยู่ในระดับกลาง (neutral) เพราะจีนกลับมาเปิดประเทศช่วยตลาดเอเชียได้ทั้งหมด จากอำนาจการใช้จ่ายของคนจีนในการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลก และซัพพลายเชนที่กลับมาดำเนินการได้ตามปกติ รวมไปถึงสี จิ้นผิงได้เป็นผู้นำต่อ ช่วยทางการปกครองและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง แต่ถ้าเป็นตลาดยุโรปนอกอังกฤษก็ยัง underweight เล็กน้อย ทั้งนี้แม้ว่าจะกำหนดสัดส่วนการลงทุน แต่ไส้ในพอร์ตต้องมีการสลับสับเปลี่ยนตามสถานการณ์ตลอดเวลา

การที่เราถือตราสารหนี้ไว้จะช่วยในเรื่องการกระจายความเสี่ยงพอร์ตการลงทุน และตอนนี้ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจจริง ระดับ 3-5% ดังนั้นช่วงเวลานี้ไปจนถึงสิ้นปี คาดว่าตราสารหนี้จะมีความน่าสนใจมากกว่าหุ้น

ในส่วนสินทรัพย์ทางเลือกแนะนำสัดส่วนการลงทุนประมาณ 15% เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ต อาจจะยังไม่ได้แนะนำทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัล เพราะมองระยะยาวแล้วผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงที่ได้รับ มีออปชั่นอื่นน่าสนใจมากกว่า ประกอบกับคริปโตค่อนข้างมีความผันผวนสูง กฎหมายที่ควบคุมยังมีความไม่แน่นอนสูง หรือทองคำเองแม้ว่าตอนนี้ราคาขึ้นมาค่อนข้างมากแต่การถือทองคำไม่ได้เงินปันผล ไม่ได้ดอกเบี้ย

ทั้งนี้จากประสบการณ์ 50 ปีของ BNY Mellon มีเงินอยู่มากกว่า 1.7-1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ เฉพาะเงินภายใต้การบริหารสูงกว่า 2.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ได้จัดโมเดลพอร์ตโฟลิโอ 10 แบบมาให้ลูกค้าเมย์แบงก์เลือกลงทุนได้ โดยคำนึงถึงแผนการลงทุนระยะยาวที่เหมาะสมกับความเสี่ยงแต่ละแบบ โดยผลตอบแทนสูงสุดในพอร์ตโฟลิโอจนถึงสิ้นเดือน ..ทำได้ถึง 5.2% ถือว่าชนะตลาดที่มีรีเทิร์นแค่ 3-4% โดยไส้ในจะเน้นลงทุนผ่านกองทุนต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งมีทั้งหุ้น, ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกผสมกันอยู่

นางสาวอภิญญา องค์คุณารักษ์
นางสาวอภิญญา องค์คุณารักษ์

ขอไลเซนส์บริหารกองทุนส่วนบุคคล

นางสาวอภิญญา องค์คุณารักษ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายงาน Investment Management และหัวหน้ากลุ่มลูกค้า Ultra-High Net Worth และ Family Office บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทไม่ได้ซื้อขายหุ้นอย่างเดียวแล้ว แต่มีโปรดักต์ที่หลากหลาย โดยล่าสุดอยู่ในกระบวนการยื่นขอใบอนุญาต (ไลเซนส์) ประกอบธุรกิจบริหารกองทุนส่วนบุคคล (private fund) จากสำนักงาน ... และคาดว่าจะได้ไลเซนส์และเริ่มดำเนินการได้ภายในปีนี้เลย โดยสามารถบริหารพอร์ตลงทุนของลูกค้ากระจายได้หลากหลายสินทรัพย์ทั้งหุ้นไทย หุ้นรายตัวต่างประเทศ หุ้นนอกตลาด สินทรัพย์ทางเลือก เป็นต้น 

โดยปัจจุบันมีลูกค้า 3 กลุ่มหลักคือ 1.กลุ่ม HNW พอร์ตลงทุนประมาณ 5-50 ล้านบาท 2.กลุ่ม ultra HNW พอร์ตลงทุน 50 ล้านบาทขึ้นไป และ 3.กลุ่ม family of business พอร์ตลงทุน 200 ล้านบาทขึ้นไป

เป้าดัชนีหุ้นไทย 1,720 จุด

สำหรับมุมมองตลาดหุ้นไทยปีนี้ เชื่อว่ามีรูมให้เล่น ดาวน์ไซด์จำกัด แม้แบงก์ชาติจะปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเล็กน้อย แต่ยังมีสตอรี่เลือกตั้ง จีนเปิดประเทศ ประกอบ บลจ.มีการออกทริกเกอร์ฟันด์ค่อนข้างมาก สอดรับมุมมองหุ้นไทยจะขึ้นไปได้อีก โดยประเมินเป้าดัชนี SET Index สิ้นปีนี้บริเวณ 1,720 จุด มีช่องว่างขึ้นไปได้อีกราว 7-8% ประเมิน PE ตลาดที่ 16.3 เท่า EPS ที่ 105.2 บาทต่อหุ้น เชื่อว่ากำไรบจ.ไตรมาส 1 ปีนี้น่าจะทำผลงานได้ดีกว่าไตรมาส 4 ปีที่แล้ว

ช่วงนี้อาจจะหลบไปเล่นหุ้นเซ็กเตอร์ที่ได้ประโยชน์ธีมเปิดเมืองและท่องเที่ยวก่อน เชื่อว่ายังพอมีอัพไซด์ให้เล่นได้อยู่ และคนจีนยังไม่ได้เข้ามาเต็มที่ แล้วรอให้ฝุ่นตลบค่อยกลับเข้าไปเล่นหุ้นแบงก์ จากที่ราคาหุ้นถูกเทขายมาเยอะนางสาวอภิญญากล่าว