BH กำไรไตรมาสแรกปีนี้ 1,583 ล้าน โต 118% ผู้ป่วยเข้ารักษาพุ่ง

BH

โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กวาดกำไรไตรมาส 1/66 กว่า 1,583 ล้านบาท เติบโต 118% เทียบปีก่อน อานิสงส์ผู้ป่วย “ต่างชาติ-คนไทย” เข้ารักษาพุ่ง สูงกว่าก่อนโควิด 46.4% ฟากบอร์ดอนุมัติปันผลอีก 2.35 บาทต่อหุ้น 1,870 ล้านบาท กำหนดจ่าย 10 พ.ค.นี้ ด้าน บล.กรุงศรี พัฒนสิน คาด BH กำไรทั้งปี 5,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% แนะนำซื้อ

วันที่ 27 เมษายน 2566 นางลินดา ลีสหะปัญญา กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า งวดไตรมาส 1/2566 บริษัทมีรายได้รวม 6,091 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46.7% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) และเพิ่มขึ้น 0.4% เทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) โดยมีกำไรสุทธิ 1,583 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 118.4% YOY และเพิ่มขึ้น 2.4% QOQ

ทั้งนี้หากเทียบกับไตรมาส 1/2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโรคระบาดโควิด พบว่าไตรมาสแรกปีนี้มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นกว่า 29.6% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 46.4%

โดยไตรมาส 1 ปีนี้ มีรายได้จากกิจการโรงพยาบาลจำนวน 6,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47.5% YOY โดยหลักเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติและผู้ป่วยชาวไทย 78% และ 9.5% ตามลำดับ โดยไตรมาสแรกปีนี้รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติคิดเป็น 66.9% ในขณะที่ผู้ป่วยชาวไทยคิดเป็น 33.1%

ขณะที่มีต้นทุนกิจการโรงพยาบาลในงวดไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 3,150 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 31.6% YOY มีค่าใช้จ่ายในการขาย 159 ล้านบาท ลดลง 36.1% YOY มีค่าใช่จ่ายในการบริหาร 854 ล้านบาท ลดลง 14.2% YOY และมี EBITDA ที่ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88% YOY

นอกจากนี้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 26 เม.ย.2566 ได้มีมติอนุมัติจัดสรรกำไรประจำปี 2565 ที่เสียภาษีในอัตรา 20% เพื่อจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 3.5 บาท เป็นเงินปันผลรวมทั้งสิ้น 2,784 ล้านบาท คิดเป็น 56.4% ของกำไรสุทธิ

โดยได้จ่ายปันผลระหว่างกาลไปแล้วเมื่อวันที่ 8 ก.ย. 2565 ในอัตราหุ้นละ 1.15 บาท รวมเป็นเงิน 914 ล้านบาท ดังนั้นเงินปันผลที่จ่ายในครั้งนี้อยู่ที่ 2.35 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงิน 1,870 ล้านบาท โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นบุริมสิทธิและผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทที่ปรากฏรายชื่อในวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผลเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2566 โดยจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 10 พ.ค. 2566 ที่จะถึงนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าราคาหุ้น BH วันนี้ปิดตลาดยืนอยู่ที่ราคา 238 บาท ปรับตัวลดลง 3 บาท (-1.24%) จากราคาปิดวันก่อนหน้า ซึ่งเป็นระดับที่ลงไปทำจุดต่ำสุดของวันนี้ มีมูลค่าซื้อขายรวม 384 ล้านบาท

ด้าน บล.กรุงศรี พัฒนสิน รายงานว่า แนวโน้มไตรมาส 2/2566 ของ BH เบื้องต้นคาดว่ากำไรปกติทรงตัว YOY จากไตรมาส 2/2565 มีกำไร 1,161 ล้านบาท แต่จะลดลง QOQ เนื่องจากคาดว่ารายได้รักษาพยาบาลเติบโตในอัตราแผ่วลง YOY จากรายได้ไตรมาส 2/2565 เริ่มมีฐานสูงกว่าช่วงก่อนโควิด ขณะที่เทียบ QOQ คาดรายได้ลดลงจากการใช้บริการ และ Intensity ค่ารักษา ซึ่งมีผลกระทบปัจจัยฤดูกาล

และคาดว่าการใช้บริการของลูกค้าตะวันออกกลางจะถูกกระทบจากรอมฎอนเต็มเดือน (เม.ย. 2566) ประกอบกับคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นใกล้เคียงไตรมาส 2/2565 ที่ 46.2% และลดลง QOQ

สำหรับภาพทั้งปีของ BH คาดกำไร 5,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% YOY เติบโตแผ่วจากปี 2565 โดยกำไรปีนี้เติบโตตามรายได้รักษาพยาบาล +11% YOY และมีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นเป็น 46.7% ทั้งนี้มองว่ากำไรของ BH มีโอกาสเกิดอัพไซด์จากมาร์จิ้นดีว่าคาด หาก BH มีผลบวกจาก Intensity และบริหารต้นทุนได้ดีกว่าคาด