กอง “หุ้นเทค” บวกแรง ล้อเทรนด์ AI บูมทั่วโลก

กองทุนหุ้นเทค AI

กระแสเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI ที่มาแรง เป็นแรงหนุนสำคัญของกองทุนหุ้นเทคโนโลยีเลยก็ว่าได้ โดยปีนี้กองทุนประเภทดังกล่าวมีผลตอบแทนที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างแรง

โดยข้อมูลจาก บริษัท มอร์นิ่งสตาร์ รีเสิร์ช (ประเทศไทย) ชี้ว่า จากกระแส AI ที่ค่อนข้างมาแรง ทำให้หุ้นเทคโนโลยีสหรัฐ (US Tech) หลายตัวราคาปรับพุ่งไปแล้ว 40-100% ในปีนี้ โดยเฉพาะกลุ่มกองทุน Global Technology ที่ปีที่แล้วเป็นปีที่กองทุนกลุ่มนี้ได้รับผลกระทบอย่างมาก ติดลบตั้งแต่ 24-68%

แต่ปีนี้ผ่านมาครึ่งปีแรก เกือบทุกกองทุนมีผลตอบแทนในแดนบวก แม้ว่าส่วนใหญ่จะยังไม่สามารถล้างผลขาดทุนในปีที่ผ่านมาได้ โดยในปีนี้ กองทุนกลุ่ม Global Technology ช่วงครึ่งปีแรกมีผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 33% ขณะที่เงินไหลออกสุทธิไปกว่า 1,300 ล้านบาท มีเพียง 3 กองทุนที่มีเงินไหลเข้าสะสมในระดับกว่า 100 ล้านบาท ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา

สำหรับกองทุนที่มีผลตอบแทนสูงสุด คือ กองทุน ASP-DIGIBLOC-SSF อยู่ที่ 146.80% รองลงมาเป็น กองทุน ASP-DIGIBLOCRMF อยู่ที่ 138.43% และ ASP-DIGIBLOC ผลตอบแทนอยู่ที่ 135.32% ทั้ง 3 กองทุนมาจาก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) แอสเซทพลัส ถัดมากองทุน TNEXTGEN-A และ TNEXTGEN-SSF จาก บลจ.ทิสโก้ ผลตอบแทนอยู่ที่ 58.42% และ 58.38% ตามลำดับ (ดูตาราง)

กราฟฟิก หุ้น ai

“ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.จิตตะ เวลธ์ กล่าวว่า หุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 โดยดัชนี NASDAQ ได้รับแรงหนุนหลักจากหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่และความสนใจที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ AI สะท้อนจากดัชนี NASDAQ Composite ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุด ในรอบ 40 ปี

หากดูผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้
ดชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 35% และดัชนี S&P 500 ก็มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามถึง 19.39%

“นักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองว่าตลาดอาจจะเข้าสู่ช่วงตลาดกระทิง แต่การเติบโตของตลาดส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากหุ้นที่มีความเกี่ยวข้องกันกับการใช้ AI ซึ่งอาจจะมีการปรับตัวของราคาที่ค่อนข้างผันผวนในช่วง 6 เดือนหลังนี้ แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ธุรกิจจำนวนมากก็ยังคงนำ AI มาใช้มากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยที่สามารถกระตุ้นความสนใจในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับ AI ได้อย่างต่อเนื่อง”

“ตราวุทธิ์” กล่าวว่า บรรยากาศ (sentiment) เชิงบวกนี้ไม่ได้ขึ้นมาสูงในระดับนี้ตั้งแต่ช่วงธันวาคมปี 2564 ก่อนการปรับตัวลดลงของตลาดทั้งปี 2565 มุมมองทั้งหมดที่ดีขึ้นต่อตลาดเกิดขึ้น เนื่องจากนักลงทุนมองว่าสหรัฐไม่น่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากงบการเงินไตรมาส 2 ของธนาคารต่าง ๆ ที่ออกมาดีกว่าคาด

“แนวโน้มครึ่งปีหลังยังมีความไม่แน่นอนและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ย และภาวะเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลกระทบต่อตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะการเติบโต GDP ไตรมาสที่ 2 ของจีน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ และอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงอยู่ในบางประเทศ”

ฟาก “วโรฤทธิ์ จีระชน” Executive Director กลุ่มวิเคราะห์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในอดีตหุ้นเทคโนโลยีถูกมองว่ามีความหวือหวาตามกระแส ผลประกอบการมักไม่ค่อยมีกำไรและมีความผันผวนสูง แต่ในปัจจุบันความคิดดังกล่าวเปลี่ยนไป เพราะนักลงทุนมองว่า หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ของสหรัฐมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีแบรนด์สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ใช้ทั่วโลก มีการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน

ขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว มีโอกาสที่หุ้นเทคจะเป็นกลุ่มนำต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ ด้วยปัจจัยหนุนข้างต้น และหากผลประกอบการเติบโตได้ตามตลาดคาดหวัง อาจนำไปสู่การปรับเพิ่มประมาณการจากนักวิเคราะห์ในตลาดในระยะถัดไป และจะช่วยคลายความตึงตัวของราคา แต่เชื่อว่าความผันผวนของราคาหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น จากแรงขายทำกำไรที่อาจจะเข้ามาเป็นระยะ

“วโรฤทธิ์” กล่าวว่า ครึ่งปีหลังยังต้องติดตามผลประกอบการรายไตรมาสและการให้ข้อมูลของผู้บริหารบริษัท และในการปรับตัวขึ้นของดัชนีหุ้นสหรัฐ กระจุกตัวในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่เป็นหลัก ดังนั้นหากราคาหุ้นเหล่านี้มีความผันผวน ก็จะส่งผลกระทบต่อทิศทางตลาดหุ้นด้วย รวมถึงทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ และการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

“หุ้นเทคของสหรัฐยังมีโอกาสที่จะเป็นกลุ่มนำต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่ระหว่างทางอาจมีแรงขายทำกำไรเข้ามาเป็นระยะเพราะราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างเร็วในช่วงครึ่งแรกของปี หรือในกรณีที่นักลงทุนถือหุ้นอยู่แล้วและมีกำไรมากพอสมควรแล้ว อาจจะพิจารณาขายทำกำไรบางส่วน แล้วรอราคาหุ้นย่อตัวลงมา ค่อยเข้าไปสะสมอีกรอบก็ได้เช่นกัน” Executive Director กลุ่มวิเคราะห์การลงทุน บลจ.ไทยพาณิชย์กล่าว