
บทความโดย “ศุภิสรา อโณทยานนท์” ที่ปรึกษาการเงิน AFPT บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนฟินโนมีนา จำกัด
วันที่ 25 กันยายน 2566 คนเราต้องใช้เงินในทุกช่วงของชีวิต จึงควรเรียนรู้วิธีจัดการเงิน เพื่อให้ครอบคลุมกับค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นในแต่ละช่วงระยะเวลา ซึ่งระยะเวลาในการใช้เงินของคนเราแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ สั้น กลาง และ ยาว โดยในแต่ละระยะ เราต้องการผลตอบแทนจากการลงทุนไม่เท่ากัน
เพราะอะไร ? ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่าย ๆ เช่น คุณ A มีเงินส่วนใหญ่ลงทุนในหุ้นเพื่อให้ได้ผลตอบแทน 8% โดยวางแผนว่าจะนำกำไรหรือเงินปันผล มาจ่ายค่าผ่อนบ้าน แต่ปรากฎว่าหุ้นดันตกและอยู่ในช่วงที่จะต้องจ่ายค่าผ่อนบ้านพอดี
- MOTOR EXPO 2023 ยอดขายรถ 4 วันแรกทะลุ 8,300 คัน
- เช็กเงินช่วยเหลือชาวนาไร่ละ 1,000 บาท เงินเข้าบัญชีวันนี้ 38 จังหวัด
- สพฐ.ประกาศหยุดเรียน 4-8 ธ.ค.ให้นักเรียน ม.ปลายเตรียมสอบ TGAT/TPAT
ซึ่งแน่นอนว่า เราคงไม่อยากขายในขณะที่ยังขาดทุน หรือไปนั่งเจรจากับธนาคารหรือเจ้าหนี้ว่า “ขอผัดผ่อนไปก่อนได้มั้ย ไว้หุ้นขึ้นแล้วเดี๋ยวมาจ่ายเลย” ซึ่งเป็นไปได้ยาก
แต่ในทางกลับกัน ถ้าตั้งแต่ต้น คุณ A ไม่เลือกลงทุนในหุ้น แล้วเลือกฝากในธนาคารที่ได้ผลตอบแทน 0.25% ที่ดึงเงินออกมาใช้ได้ตลอดเวลา คุณ A และทุกคนคงรู้สึกไม่จูงใจที่จะลงทุนในลักษณะนั้น
งั้นเราควรจะเอาเงินไปลงทุนตรงไหนดี ?
ในเมื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนสูง ความผันผวนก็สูงตาม จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ผลตอบแทนต่ำ ก็ไม่จูงใจ
คำตอบคือ แบ่งเงินออกเป็น 4 พอร์ต เพื่อลงทุนให้เหมาะกับการใช้เงินในแต่ละระยะดีกว่า
พอร์ตที่ 1 เงินสำรองฉุกเฉิน เผื่อไว้ยามที่มีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือ ขาดรายได้ ตกงาน อยากเปลี่ยนงาน ก็ยังใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้โดยไม่ต้องกังวลที่ขาดรายได้มากนัก ซึ่งจากหลักการการวางแผนการเงิน เราควรมีเงินส่วนนี้เท่ากับ ค่าใช้จ่าย 3 – 6 เดือน เช่น ปกติใช้จ่ายเดือนละ 10,000 บาท ก็ควรมีเงินสำรองเก็บไว้ในธนาคารสักประมาณ 30,000 – 60,000 บาท
พอร์ตที่ 2 กองทุนรวมตลาดเงิน หรือ กองทนุตราสารหนี้ระยะสั้น สำหรับเป้าหมายระยะสั้นที่ต้องใช้เงินในช่วง 1–3 ปี เช่น เก็บเงินดาวน์รถ ดาวน์บ้าน คาดหวังผลตอบแทนประมาณ 0.5–2% เพื่อให้แน่ใจว่าจะรักษาเงินต้นไว้ มาจ่ายสิ่งจำเป็นพวกนี้ได้
พอร์ตที่ 3 กองทุนรวมตราสารหนี้หรือตราสารผสม สำหรับเป้าหมายระยะกลาง ที่ต้องใช้เงินในอีก 3–7 ปี ตอนนั้นเราอาจจะเริ่มสร้างครอบครัวแล้ว จึงอาจจำเป็นต้องใช้เงินเพื่อแต่งงานหรือดาวน์บ้าน กำหนดเป็นพอร์ตที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 3–4% ไม่ได้มีสภาพคล่องมากเท่าพอร์ตที่ 2 และไม่ได้มีผลตอบแทนสูงมากนักเพื่อให้ความเสี่ยงไม่สูงมากจนเกินไป
พอร์ตที่ 4 กองทุนรวมตราสารทุนหรือกองทุนหุ้น สำหรับเป้าหมายระยะยาว ที่ต้องใช้เงินในอีก 7 ปีขึ้นไป ที่จะเป็นพอร์ตเพื่อการเกษียณ ซึ่งคนในวัยนี้มักมีคำถามว่าเราควรจะเริ่มเลยหรือไม่ ตอบเลยว่า ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งดี ได้เปรียบมาก เพราะยิ่งอายุน้อย ยิ่งมีเวลาในการลงทุนยาวนานมากกว่าวัยอื่น ทำให้ความเสี่ยงในการขาดทุนลดลง และได้ประโยชน์สูงมากจากผลตอบแทนแบบทบต้นทบดอก หรือดอกเบี้ยทบต้นนั่นเอง
ดอกเบี้ยทบต้น เป็นตัวช่วยเพิ่มพลังชั้นดีในการลงทุน
ยกตัวอย่างเช่น หากเราเลือกให้ปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าได้ อะไรจะทำให้เรามีเงินมากที่สุดระหว่าง
กรณี |
เงินออมต่อเดือน (บาท) |
อัตราดอกเบี้ยต่อปี |
ระยะเวลา(ปี) |
เงินที่ได้รวม(บาท) |
ปกติ |
1,000 |
10% |
10 |
204,845 |
1.เพิ่มเงินลงทุนต่อเดือน
|
2,000 |
10% |
10 |
406,960 |
2.เพิ่มอัตราผลตอบแทน
|
1,000 |
20% |
10 |
376,095 |
3.เพิ่มระยะเวลาลงทุน
|
1,000 |
10% |
จากตารางพบว่า การเพิ่มระยะเวลาการลงทุนทำให้มีเงินมากที่สุด เป็นที่มาของคำว่า “ออมก่อน รวยกว่า” นั่นเอง
นอกจากนี้จะเห็นว่า เราแนะนำการลงทุนในกองทุนรวมทั้งหมดเลย เพราะมันเหมาะกับมือใหม่หัดลงทุน ที่ไม่ค่อยมีเวลาศึกษาการลงทุนด้วยตัวเอง เนื่องจากกองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนและทีมงานเป็นคนดูแลกองให้แทน อีกทั้งกองทุนรวมยังมีการกระจายการลงทุนที่ดีว่าการซื้อหุ้นรายตัวอีกด้วย นอกจากนี้หากซื้อกอง RMF หรือ SSF ก็ใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย
ดังนั้นสำหรับสมาคมวัยรุ่นสร้างตัว ใช้วิธี 3 ระยะเวลา 4 พอร์ตการลงทุน จะเป็นตัวช่วยให้สามารถพิชิตเป้าหมายในทุกช่วงชีวิต