คลังรับลูก FETCO ผุด “TESG” ปั๊มชีพจรตลาดหุ้นไทยปลายปีนี้

share&stockmarket

ในที่สุด การผลักดันกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ของสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ก็ได้ผล โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา มีการเข้าหารือเรื่องนี้กับทางกระทรวงการคลัง

ผุดกอง “TESG” เริ่มขายปีนี้

“ลวรณ แสงสนิท” ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวหลังประชุมว่า ได้ข้อสรุปว่าจะจัดตั้งกองทุนลดหย่อนภาษีตัวใหม่ ชื่อ “Thailand ESG Fund : TESG” เพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว มีเป้าหมายมุ่งเน้นให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยและตลาดตราสารหนี้ไทยที่เป็นธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อม สังคม และมีธรรมาภิบาล (ESG)

ซึ่งข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ในดัชนี SETTHSI และ SETESG รวมกันอยู่ประมาณ 210 บริษัท จาก บจ. ทั้งหมดกว่า 800 บริษัท

โดยจะเสนอเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 21 พ.ย.นี้ คาดว่าจะให้เริ่มซื้อกองทุนได้ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2566

“กรมสรรพากรจะดำเนินการเรื่องนี้ให้ทันกับการใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีในปี 2566 คือสามารถซื้อกองทุน TESG ได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ แล้วนำไปหักลดหย่อนภาษีได้เลยในรอบเดือน มี.ค. 2567 ได้เลย”

ลดหย่อนภาษีได้ 1 แสนบาท

สำหรับเงื่อนไขการลดหย่อนภาษี จะให้ในวงเงินไม่เกิน 1 แสนบาท แยกจาก RMF และ SSF ที่เดิมมีวงเงินลดหย่อนภาษีรวมกัน 5 แสนบาท ระยะเวลาลงทุน 8 ปีเต็ม (10 ปีปฏิทิน)

“เชื่อว่ากองทุนตัวนี้ จะเป็นแรงหนุนให้ บจ. สนใจจะเข้าเกณฑ์ ESG เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต ซึ่งไม่ใช่บริษัทใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่บริษัทเอสเอ็มอีก็เป็นบริษัทที่มี ESG ที่ดีได้ จึงไม่ได้ปิดกั้น และจะตอบโจทย์ประเทศไทยที่จะเข้าร่วมในกติกาโลกที่มุ่งไปสู่ความเป็น green”

รัฐยอมสูญรายได้ 1 หมื่นล้าน/ปี

ขณะที่ “กุลยา ตันติเตมิท” อธิบดีกรมบัญชีกลาง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ประเมินว่าจากการให้สิทธิลดหย่อนภาษีกองทุน TESG จะทำให้ในแต่ละปีรัฐบาลจะสูญเสียรายได้ไปประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่เนื่องจากเป็นเทรนด์อนาคตสำหรับประเทศไทย เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ภาครัฐพร้อมที่จะสนับสนุนเรื่องนี้

“เราประเมินการสูญเสียรายได้เต็มปี ในอัตราที่ใกล้เคียงกับเมื่อช่วงที่ให้สิทธิทางภาษีกับกองทุน LTF”

คาดเม็ดเงินไหลเข้า 1 หมื่นล้านทันที

ขณะที่ “ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ประธาน FETCO กล่าวว่า เชื่อว่าเมื่อรัฐบาลให้ความใส่ใจเรื่อง ESG ก็จะทำให้บริษัทต่าง ๆ ยกระดับการทำ ESG ขึ้นมามากขึ้น รวมถึง ESG Bond ด้วยที่จะเกิดขึ้นมากขึ้น ซึ่งมองว่าสำหรับประเทศไทยถือเป็นก้าวที่สำคัญที่เป็นกลไกของรัฐบาลและกระทรวงการคลังที่ได้มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ เพื่อบอกต่อโลกได้ว่าไทยมีความใส่ใจเรื่อง ESG และทำให้ตลาดทุนไทยมีการลงทุนประเภท long term investment

“ต้องขอบคุณภาครัฐที่จะดำเนินให้ได้อย่างรวดเร็วภายในปลายปีนี้เลยที่จะสามารถลงทุนได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปีแรกมีเวลาจำกัดแค่ 1 เดือน จึงคาดหวังเม็ดเงินเข้ามาซื้อประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยทางบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) และตลาดทุนจะไปเร่งประชาสัมพันธ์

เพราะตอนนี้มีเวลาไม่ถึงเดือนที่จะลุยทำเรื่องนี้ได้ แต่หลังจากนั้นปีถัด ๆ ไป เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินที่ไหลเข้าซื้อกองทุน TESG เพิ่มมากขึ้นคล้าย ๆ กับช่วงที่มีกองทุน LTF ตามความสนใจของนักลงทุน และมีบริษัทต่าง ๆ ที่มุ่งสู่การทำเรื่อง net zero”

ลุ้นเม็ดเงินเทียบเท่า LTF

ด้าน “ชวินดา หาญตระกูล” กรรมการผู้จัดการร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กล่าวว่า ในระยะยาวจะเห็นเม็ดเงินเท่ากับช่วงที่มีกองทุน LTF ได้หรือไม่นั้น จะขึ้นอยู่ว่ากองทุน TESG จะเรียกความสนใจจากนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหน

โดยเฉพาะนักลงทุนใหม่ ๆ เพราะจำนวนคนที่เข้ามาลงทุนเป็นมุมที่จะช่วยทำให้เม็ดเงินมีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะฉะนั้นคาดหวังจำนวนนักลงทุนใหม่ ๆ เกิดขึ้น เนื่องจากคนออมและลงทุนในตลาดทุนมีแค่ไม่ถึง 10% ของประเทศ ซึ่งยังต่ำเกินไป จึงต้องการฐานนักลงทุนใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นโดยใช้ประโยชน์ทางภาษีเป็นแรงจูงใจ

โบรกฯชี้ปัจจัยบวกต่อ SET

ฟาก “กรภัทร วรเชษฐ์” ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน จำกัด กล่าวว่า กองทุน TESG ที่จะเกิดขึ้น ประเมินว่า ในระยะสั้นจะเป็นบวกต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพราะเดือน ธ.ค.นี้ จะมีเม็ดเงินระยะยาวเข้ามาทันที โดยคาดหวังเม็ดเงินไหลเข้าราว 1.1-1.5 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2567 คาดว่าคงจะมีมาตรการออกมาเพิ่มเติมมากกว่านี้

ทั้งนี้ ในมุมกลยุทธ์การลงทุนโดยรวม ยังคงมุมมองภาพบวกต่อ SET Index ในระยะกลางถึงยาว จาก “long term fund” โดยคาดการณ์ว่าหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม SET ESG Index จะน่าสนใจขึ้น และมีโอกาสถูก active fund ในประเทศดึงสถานะกลับก่อน แนะนำเน้นลงทุนในกลุ่มที่ 1.ราคาลงแรงกว่า THAIESG Index -14% (YTD)

2.ถูกชอร์ตเซลบนกระดานหลัก+NVDR ตั้งแต่จุดสูง เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2566 จนถึงปัจจุบัน มีสัดส่วนมากกว่า 8% ของมูลค่าซื้อขายรายตัว โดยหุ้นที่น่าจะเป็นเป้าหมายกองทุน แนะนำ CPALL, GULF, CRC, GPSC, PTTGC, IVL, SCGP, OR, CBG และ HMPRO

“ถือว่า ESG Fund มาเร็วกว่าที่คิด หากสามารถออกกองทุนทันเดือน ธ.ค.นี้ น่าจะหนุนภาวะการลงทุนปลายปี แนะสะสมหุ้น SET ใกล้ bottom out” กรภัทรกล่าว

สุดท้ายกองทุน TESG จะมาช่วยปลุกชีพจรตลาดหุ้นไทยได้อย่างที่หวังหรือไม่ ต้องรอชม