รัฐบาลเศรษฐาเดินหน้าแก้ปัญหาหนี้ทั้งใน-นอกระบบ หวังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ เปิดลงทะเบียน 1 ธันวาคมนี้ ดึงแบงก์ออมสินช่วยปล่อยกู้ต่อรายละ 5 หมื่น-ธ.ก.ส. สางหนี้ที่ดินให้กู้สูงสุด 2.5 ล้านบาท สภาพัฒน์เผยหนี้ครัวเรือนทะลุ 16 ล้านล้าน เครดิตบูโรเปิดตัวเลขหนี้เสีย 1.05 ล้านล้านบาท ห่วงสินเชื่อ “รถยนต์-บ้าน” ตกชั้นเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น หลังเห็นสัญญาณความสามารถผ่อนค่างวดสะดุด
วันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย นายกฤษฎา วิจารณะ รมช.คลัง ร่วมกันแถลง วาระแห่งชาติ “การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ”
- ด่วน! โปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.เศรษฐา 1/1 รัฐมนตรีใหม่ 13 ตำแหน่ง
- ล้งกระหน่ำทุบราคามังคุด จากโลละ 200 เหลือ 60 บาท
- ทูลเกล้า 11 รายชื่อคณะรัฐมนตรี เศรษฐา 1/1 ออก 4 เข้าใหม่ 6 ตำแหน่ง
นายเศรษฐากล่าวว่า รัฐบาลเห็นปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหากัดกร่อนสังคมไทยมานาน และเป็นเรื่องใหญ่ของคนไทยจำนวนมาก จะเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ ทำให้การแก้ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นวาระแห่งชาติ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวัง และสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทยทุกคน
นอกจากการแก้ไขหนี้แล้ว รัฐบาลจะฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือน ไปจนถึงระดับมหภาค ยกระดับความเป็นอยู่ ไม่กลับไปเป็นหนี้ล้นพ้นตัวอีก
หนี้นอกระบบ “ค้าทาสยุคใหม่”
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ปัญหาหนี้นอกระบบเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสังคมอีกหลาย ๆ ประการ รัฐบาลได้ประเมินจำนวนหนี้ครัวเรือนที่มีปัญหาหนี้นอกระบบไว้ คิดเป็นมูลค่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งตนคิดว่าตัวเลขนี้น่าจะประเมินไว้ค่อนข้างต่ำ และปัญหาจริง ๆ น่าจะมีมากกว่านั้น
“หนี้นอกระบบเป็นปัญหาส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานของประเทศต้องเจอกับความเปราะบางของหนี้สินที่ใช้เท่าไหร่ก็ไม่มีวันหมด พวกเขาไม่สามารถแม้แต่ฝัน หรือทำตาม passion ได้ ส่งผลกระทบเป็นโดมิโน่เอฟเฟ็กต์ไปทุก ๆ ภาคส่วน สำหรับผมหนี้นอกระบบเป็นการค้าทาสในยุคใหม่ ที่ได้พรากอิสรภาพความฝันไปจากผู้คนในยุคสมัยนี้” นายเศรษฐากล่าวและว่า
รัฐบาลจึงต้องบูรณาการหลายภาคส่วนเข้ามา ทั้งฝ่ายปกครอง ตำรวจ และกระทรวงการคลัง รับบทบาทเป็นตัวกลางสำคัญในการไกล่เกลี่ยพร้อมกันทั้งหมด ดูแลทั้งเจ้าหนี้ ลูกหนี้ อย่างเป็นธรรม ตั้งแต่ต้นกระบวนการไปจนถึงปิดหนี้ การทำสัญญาที่หลายครั้งไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย มีดอกเบี้ยที่ไม่เป็นธรรม และกระบวนการทวงหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ต้องจัดให้ทำสัญญาที่เป็นธรรมและเป็นไปตามกฎหมาย
“ผมได้สั่งการในช่วงเดือนพฤศจิกายน ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกระทรวงมหาดไทย ไปทำการบ้านมา ให้ทั้ง 2 หน่วยงานต้องทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ให้ดีกว่าในอดีตที่แยกกันทำ ต้องทำด้วยกัน มีมาตรการต่อเนื่องเพื่อไม่ให้ประชาชนกลับเข้าสู่วงจรอีก”
นอกจากนี้จะมีการทำฐานข้อมูลกลาง นำเทคโนโลยีมาช่วยสร้างความโปร่งใสตั้งแต่ต้นจนจบ มีตัวเลขตรวจสอบที่ประชาชนนำไปใช้ติดตามผลได้ มีวิธีการเข้าสู่กระบวนการหลายรูปแบบ เพื่อความสะดวกของประชาชน และต้องมีการสื่อสารกับประชาชนถึงความคืบหน้าต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมา
คลังช่วยปรับโครงสร้างหนี้
นายกรัฐมนตรีระบุว่า “หลังจากขั้นตอนการไกล่เกลี่ยแล้ว รัฐบาลจะช่วยปรับโครงสร้างหนี้ โดยกระทรวงการคลังจะเข้ามาช่วยในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน เพื่อให้ประชาชนสามารถชดใช้หนี้ได้อย่างมีศักดิ์ศรี ผมมั่นใจว่าด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้น”
และในวันที่ 12 ธ.ค. จะมีการแถลงภาพรวมของหนี้แบบครบวงจร จะครอบคลุมทั้งหนี้ในระบบและนอกระบบอีกครั้งหนึ่ง และจะทำให้โครงการนี้ช่วยปลดปล่อยพี่น้องประชาชนจากการเป็นทาสหนี้นอกระบบ
ดึงออมสิน-ธ.ก.ส.ช่วยปล่อยกู้
ด้านนายกฤษฎากล่าวว่า กระทรวงการคลังจะดูแลเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้และการไกล่เกลี่ยหนี้สิน โดยธนาคารออมสินจะดูแลประชาชนที่กู้หนี้นอกระบบ โดยให้กู้ต่อรายละไม่เกิน 50,000 บาท ระยะเวลา 5 ปี ส่วนสินเชื่อสำหรับอาชีพอิสระเพื่อรายย่อยกู้ไม่เกิน 100,000 บาท ระยะเวลา 8 ปี ดอกเบี้ยตามความสามารถของลูกหนี้
ส่วนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ช่วยเหลือเกษตรกรซึ่งนำที่ดินทำกินไปจำนองหรือขายฝาก เมื่อไกล่เกลี่ยและปรับปรุงโครงสร้างหนี้นอกระบบแล้ว จะให้สินเชื่อสำหรับให้แก้ไขปัญหาสูงสุดต่อราย 2.5 ล้านบาท
ลงทะเบียน 1 ธ.ค. 66-29 ก.พ. 67
นายอนุทินกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบกระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะร่วมมือโดยนายอำเภอ และผู้กำกับสถานีตำรวจ ช่วยเหลือลูกหนี้ไกล่เกลี่ย ประนีประนอมข้อพิพาท รวมถึงปราบปรามผู้กระทำความผิดอย่างเด็ดขาด โดยสามารถลงทะเบียน ศูนย์ดำรงธรรม ณ ศาลากลางจังหวัดทุกแห่ง ศูนย์ดำรงธรรมอำเภอทุกแห่ง ส่วน กทม.สามารถลงทะเบียนได้ที่สำนักงานเขตทุกแห่ง
สำหรับระยะเวลาดำเนินโครงการ แบ่งเป็น ช่วงที่ 1.เปิดรับลงทะเบียนลูกหนี้นอกระบบ ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2566-29 กุมภาพันธ์ 2567 2.รวบรวมข้อมูลลูกหนี้ แยกแต่ละประเภทในเดือนมีนาคม 2567 3.ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้ลงทะเบียนในเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2567 4.ประเมินผลการดำเนินการตามนโยบายในเดือนกันยายน 2567
หนี้ครัวเรือนแตะ 16.07 ล้าน ล.
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ กล่าวว่า หนี้สินครัวเรือนในไตรมาส 2 ปี 2566 มีมูลค่า 16.07 ล้านล้านบาท ขยายตัว 3.6% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ 90.6% คงที่เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยการเพิ่มขึ้นของหนี้สินครัวเรือน มาจากหนี้เพื่ออสังหาริมทรัพย์และหนี้เพื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลเป็นหลัก
ขณะที่คุณภาพสินเชื่อภาพรวมปรับตัวลดลงเล็กน้อย โดยหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) มีมูลค่า 1.47 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.71% ต่อสินเชื่อรวม จากไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 2.68%
ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญ ได้แก่ 1) ความเสี่ยงในการติดกับดักหนี้ของเกษตรกรไทยจากมาตรการพักหนี้ จากผลการศึกษาที่ผ่านมาพบว่า มาตรการไม่สามารถลดหนี้ของเกษตรกรได้มากนัก เพราะเกษตรกรที่เข้าร่วมมักมีการก่อหนี้เพิ่ม เนื่องจากรายได้จากการทำการเกษตรยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่าย ดังนั้นต้องมีการยกระดับรายได้ควบคู่กับการดำเนินมาตรการ และ 2) การเร่งดำเนินมาตรการปรับโครงสร้างหนี้แก่ลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทั้งมูลค่าหนี้และบัญชีที่เป็นหนี้เสีย
หนี้เสียขยับเพิ่ม 1.05 ล้าน ล.
นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า ภาพรวมหนี้ครัวเรือนในระบบ ณ ไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 16 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 90.7% ต่อจีดีพี โดยมียอดสินเชื่อที่อยู่บนฐานข้อมูลเครดิตบูโร ณ ไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท
ทั้งนี้ ยอดสินเชื่อในไตรมาสที่ 3/2566 จะพบว่า สินเชื่อบัตรเครดิตเติบโต 3.2% จากไตรมาสที่ 3/2565 อยู่ที่ 5.29 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 5.46 แสนล้านบาท โดยมีจำนวนบัตรเครดิตทั้งสิ้น 23.8 ล้านใบ แต่ในจำนวนดังกล่าวมี 6 ล้านใบที่ไม่ได้เปิดใช้งานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจและรายได้ไม่โต ประกอบกับมีการคุมดอกเบี้ยปรับลดลงเหลือ 16% ส่งผลให้สถาบันการเงินหลายแห่งตัดสินใจไม่ดำเนินธุรกิจบัตรเครดิตต่อ และหันไปปล่อยสินเชื่อ Buy Now Pay Later แทน ที่ได้อัตราดอกเบี้ย 25%
ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลเติบโต 3.1% จากยอดสินเชื่อ 2.50 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 2.58 ล้านล้านบาท ด้วยจำนวนลูกหนี้ 31.7 ล้านบัญชี โดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กำลังมองประเด็นเรื่องของหนี้เรื้อรังไม่สามารถปิดจบหนี้ได้ ด้านสินเชื่อรถยนต์มีอัตราการเติบโต 2% ยอดสินเชื่ออยู่ที่ 2.61 ล้านล้านบาท จำนวน 6.5 ล้านบัญชี ถือว่าขยายตัวไม่มากสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ โดยในส่วนนี้ ธปท.จะเข้ามากำกับดูแลเพิ่มเติม แต่จะสามารถควบคุมได้หรือไม่ เนื่องจากมีผู้ประกอบการจำนวนมากถึง 2,300 ราย
นายสุรพลกล่าวว่า ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) หรือค้างชำระเกิน 90 วัน พบว่า ณ ไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 1.05 ล้านล้านบาท มีจำนวนทั้งสิ้น 10 ล้านบัญชี เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2566 อยู่ที่ 1.03 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ หากมองไปข้างหน้ามองว่าคาดว่าหนี้เสียยังมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่อาจจะไม่เห็นตัวเลขสูงสุดเท่าไตรมาสที่ 3/2565 ที่อยู่ 1.09 ล้านล้านบาท เนื่องจากสภาพหนี้ไม่ได้เลวร้ายในทุกเซ็กเตอร์
เอ็นพีแอลสินเชื่อรถยนต์พุ่ง
ทั้งนี้ หากดูไส้ในของหนี้เสียจะพบว่า สินเชื่อรถยนต์มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึง 20.9% โดย ณ ไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 2.07 แสนล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่อยู่ 1.71 แสนล้านบาท โดยจำนวนบัญชีเพิ่มจาก 6.39 แสนบัญชี เป็น 6.94 แสนบัญชี หรือเพิ่มขึ้น 8.6% สะท้อนว่าหนี้เสียกลุ่มรถยนต์ยังคงเป็นปัญหา และมองไปข้างหน้าเศรษฐกิจยังขยายตัวต่ำ ราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง ปัญหาค่าครองชีพอาจจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้
“หัวใจสำคัญของหนี้เสียจะปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงจะอยู่ที่สินเชื่อรถยนต์ จะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้เร็วขนาดไหน เพราะสินเชื่อรถยนต์ทำได้ค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับสินเชื่อประเภทอื่น เนื่องจากอายุรถ 4 ปี หากสถาบันการเงินยืดอายุในการปรับโครงสร้างหนี้เป็น 7 ปี จะทำให้มูลค่าลดลงอีก ทำให้สถาบันการเงินใช้วิธีเมื่อค้างชำระเกิน 3 เดือนจะยึดรถทันที”
บ้านต่ำ 3 ล้านค้างจ่ายเพิ่มขึ้น
ผู้จัดการใหญ่เครดิตบูโรกล่าวว่า ภาพรวมสินเชื่อกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SM) หรือค้างชำระตั้งแต่ 31 วันไม่เกิน 90 วัน ไตรมาสที่ 3/2566 มีอยู่ 4.9 แสนล้านบาท พบว่าสินเชื่อที่ยังมีปัญหาอยู่ในกลุ่ม SM มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรถยนต์
โดยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมี SM เพิ่มขึ้นถึง 37.2% มียอดสินเชื่ออยู่ที่ 1.36 แสนล้านบาท เพิ่มจากไตรมาส 3/2565 ที่อยู่ 9.95 หมื่นล้านบาท และจำนวนบัญชีเพิ่มจาก 8.62 หมื่นบัญชี เป็น 1.05 แสนบัญชี หรือเติบโต 22.2% ซึ่งในจำนวนดังกล่าวจะอยู่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) 9.3 หมื่นล้านบาท หรือประมาณ 68%
ทั้งนี้ กลุ่มสินเชื่อบ้านราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง เห็นสัญญาณเริ่มมีปัญหาในการผ่อนชำระติดขัดมากขึ้น และเห็นการไหลจากสินเชื่อปกติเป็น SM มากขึ้น สิ่งที่จะต้องจับตาคือ อัตราการไหลจาก SM ไปเป็น NPL ของสินเชื่อบ้าน จะมากน้อยขนาดไหน หากดูตามคำนิยามของ ธปท. จะพบอัตราการตกชั้น (Migration Rate) ไปเป็นหนี้เสีย ของสินเชื่อบ้านอยู่ที่ 22% สินเชื่อรถ 12% สินเชื่อพีโลน 54% และสินเชื่อเครดิตการ์ด 57%
หนี้ 1.55 ล้าน ล.น่าห่วง
นายสุรพลกล่าวว่า ส่วนตัวเลข SM ของสินเชื่อรถยนต์ก็มีอัตราการเติบโต 17.5% ทำให้ยอดสินเชื่อค้างชำระเพิ่มจาก 1.81 แสนล้านบาท เพิ่มเป็น 2.13 แสนล้านบาท โดยมีจำนวนบัญชีเพิ่มจาก 4.87 แสนบัญชี เป็น 5.60 แสนบัญชี เติบโต 15.0%
อย่างไรก็ดี หากรวมทั้งหนี้เสียแล้ว 1.05 แสนล้านบาท และหนี้ที่กำลังจะเสียหรือกลุ่ม SM อีก 4.9 แสนล้านบาท พบว่า โดยรวมมีหนี้ที่น่าเป็นห่วง 11.4% หรือ 1.55 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบตัวเลขหนี้เสียของระบบธนาคารพาณิชย์ตอนนี้อยู่ที่ 2% และ SM เฉลี่ย 5%
สิ่งสำคัญคือต้องติดตามตัวเลขอัตราการตกชั้น เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดช็อกขึ้นเมื่อไร และจะเห็นการปรับอัตราชำระขั้นต่ำบัตรเครดิต จาก 5% เป็น 8% จะเห็นการกระโดดและตกชั้นหนี้เพิ่มขึ้นได้ ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 นี้เป็นต้นไป
ปรับโครงสร้างหนี้ทะลุ 1 ล้าน ล.
ขณะที่ตัวเลขปรับโครงสร้างหนี้ (TDR) ในไตรมาสที่ 3/2566 อยู่ที่ 9.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่อยู่ 9.8 แสนล้านบาท ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มหนี้ปรับโครงสร้างจะทะลุระดับ 1 ล้านล้านบาท เนื่องจากสถาบันการเงินเร่งปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่มาตรการช่วยเหลือทางการเงินหรือมาตรการฟ้า-ส้มของ ธปท.จะหมดอายุภายในสิ้นปีนี้
อย่างไรก็ดี การปรับโครงสร้างหนี้จะทำได้ยากขึ้น เนื่องจาก ธปท.ได้มีการส่งหนังสือเวียนในเรื่องของการปรับโครงสร้างหนี้บนกติกาที่ยืดหยุ่นน้อยลง โดยธนาคารจะต้องมีการพิสูจน์ทราบลูกหนี้ถึงกระแสเงินสด และศักยภาพของลูกหนี้ ทำให้ธนาคารมีความระมัดระวังมากขึ้น ประกอบกับเป็นการปรับโครงสร้างหนี้บนทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จึงเป็นเรื่องยากในการปรับโครงสร้างหนี้
ห่วงลูกหนี้โควิด-เอสเอ็มอีจิ๋ว
นายสุรพลกล่าวต่อว่า สำหรับกลุ่มลูกหนี้ที่เป็นหนี้เสียจากผลกระทบในช่วงโควิด-19 หรือรหัสสถานะบัญชี 21 ณ เดือนกันยายน พบว่า ภาพรวมหนี้อยู่ที่ 3.9 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3.7 แสนล้านบาท และหากคิดเป็นจำนวนคนพบว่ามีทั้งสิ้น 3.5 ล้านคน เพิ่มขึ้นจาก 3.4 ล้านคน และจำนวนบัญชีเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 5.1 ล้านบัญชี จาก 4.9 ล้านบัญชี
“กลุ่มที่เราห่วงมากที่สุด คือ กลุ่มรหัส 21 ที่มีคนเป็นหนี้เสียค่อนข้างมากถึง 3.5 ล้านคน ที่ไม่ได้ตั้งใจเป็นหนี้เสีย แต่เป็นสถานการณ์โควิด-19 ที่ต้องเร่งช่วยเหลือให้กลุ่มนี้สามารถออกจากปัญหาหนี้ได้ และอีกกลุ่มที่น่าห่วงคือ ลูกหนี้เอสเอ็มอีรายจิ๋วที่มีรายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ปัจจุบันมีหนี้เสียสูงที่ 9.7% หรือคิดเป็นหนี้เสียรวม 6.6 หมื่นล้านบาท และกลุ่มนี้มีแนวโน้มปรับโครงสร้างได้น้อยลง ด้วยกฎเกณฑ์กติกาที่อาจเข้มงวดขึ้นในอนาคต”