วิจัยกรุงศรี มองการบริโภคโตต่อเนื่อง คาด Easy-E-Receipt หนุนจีดีพีเพิ่ม 0.18%

Easy E-Receipt

วิจัยกรุงศรี เผยการบริโภคโตต่อเนื่อง หลังเดือน ธ.ค. 2566 โตสูงสุดในรอบ 46 เดือน คาดปัจจัยลดค่าครองชีพ-มาตรการฟรีวีซ่า ช่วยเติบโต ประเมินโครงการ Easy-E-Receipt หนุนจีดีพีโต 0.18% มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ 7 หมื่นล้านบาท เกาะติดคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นต่อการออก พ.ร.บ.กู้เงินสำหรับโครงการดิจิทัลวอลเลตให้ยึดตามข้อกฎหมาย

วันที่ 16 มกราคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วิจัยกรุงศรี ระบุว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทยฟื้นตัวต่อเนื่องบวกกับมาตรการภาครัฐ คาดว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของการใช้จ่ายในช่วงต้นปี ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 46 เดือน ที่ 62.0 จาก 60.9 ในเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลและดำเนินนโยบายลดค่าครองชีพโดยลดค่าไฟฟ้าและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ตลอดจนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลต่อสถานการณ์ภัยแล้งที่อาจกระทบต่อผลผลิตภาคเกษตร ภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีความไม่แน่นอนทั้งจากความตึงเครียดในตะวันออกกลางที่อาจรุนแรงและขยายวงกว้าง นโยบายทางการเงินที่เข้มงวด ซึ่งอาจกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและมีผลเชิงลบต่อการส่งออกของไทย

ในช่วงต้นปีคาดว่าการบริโภคจะยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ปัจจัยบวกจากความเชื่อมั่นและตลาดแรงงานที่ปรับดีขึ้น สะท้อนจากอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับต่ำที่ 1% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดการระบาด รวมถึงภาคท่องเที่ยวที่ยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุนของมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa-Free)

และยังมีมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายผ่านโครงการ Easy-E-Receipt (ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้อสินค้าหรือบริการมูลค่าสูงสุด 50,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 15 กุมภาพันธ์ 2567) ซึ่งเบื้องต้นทางการประเมินว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจราว 70,000 ล้านบาท ช่วยหนุน GDP เพิ่มขึ้น 0.18%

นอกจากนี้ ยังมีการขยายเวลามาตรการบรรเทาภาระค่าครองชีพด้านพลังงาน อาทิ การตรึงราคาน้ำมันดีเซลไว้ไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ถึงสิ้นเดือนมีนาคม และการคงราคาค่าไฟฟ้าที่ 3.99 บาทต่อหน่วย สำหรับกลุ่มครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือนออกไปอีกในงวดบิลเดือนมกราคมถึงเมษายน

โครงการดิจิทัลวอลเลตยังมีความไม่แน่นอน หลังกระบวนการตีความของคณะกรรมการกฤษฏีกาเสร็จสิ้น เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกาเปิดเผยว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบกลับความเห็นการกู้เงินของรัฐบาล 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดิจิทัล โดยแนะนำให้ยึดตามข้อกฎหมายในมาตรา 53 มาตรา 6 มาตรา 7 และมาตรา 9 ของ พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ ปี 2561 เป็นสำคัญ

โดยทั้ง 4 มาตราที่คณะกรรมการกฤษฎีการะบุ มีสาระสำคัญดังนี้

1.มาตรา 53 “การกู้เงินของรัฐบาล นอกเหนือจากที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ให้กระทรวงการคลังกระทําได้ก็แต่โดยอาศัยอํานาจตามกฎหมายที่ตราขึ้นเป็นการเฉพาะ และเฉพาะกรณีที่มีความจําเป็นที่จะต้องดําเนินการโดยเร่งด่วน และอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศ โดยไม่อาจตั้งงบประมาณรายจ่ายประจําปีได้ทัน”

2.มาตรา 6 “รัฐต้องดำเนินนโยบายการคลัง การจัดทำงบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้อย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใสและตรวจสอบได้”

3.มาตรา 7 “การกู้เงิน การลงทุน การตรากฎหมาย การออกกฏหรือการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย”

4. มาตรา 9 “คณะรัฐมนตรีต้องรักษาวินัยในกิจการที่เกี่ยวกับเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัตินี้อย่างเคร่งครัด การจัดทำงบประมาณ การจัดหารายได้ การใช้จ่าย การบริหารการเงินการคลัง และการก่อหนี้ คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาประโยชน์ที่รัฐหรือประชาชนจะได้รับความคุ้มค่าและภาระการเงินการคลังที่เกิดขึ้นแก่รัฐ รวมถึงความเสี่ยงและความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่การเงินการคลังของรัฐอย่างรอบคอบ”

ทั้งนี้ ยังต้องติดตามคณะกรรมการดิจิทัลวอลเลตว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร หลังจากได้รับความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว ขณะที่กระบวนการออก พ.ร.บ.เงินกู้ยังต้องผ่านขั้นตอนความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา และอาจรวมถึงศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่เดิมรัฐบาลเคยมีแผนที่จะดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเลด 10,000 บาท แก่กลุ่มเป้าหมาย (50 ล้านคน) ในเดือนพฤษภาคมของปีนี้