เงิน 10,000 บาท รมช.คลัง เดินหน้ากู้เงิน 5 แสนล้าน ให้รอฟังแจกเมื่อไร

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์

จุลพันธ์ รมช.คลัง เผย ประชุมบอร์ดดิจิทัลชุดใหญ่ไม่มีวาระการลงมติวันนี้ พร้อมตั้งอนุกรรมการ 2 ชุด สร้างความมั่นใจไม่ให้เกิดการทุจริต

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเลต (บอร์ดชุดใหญ่) โดยการประชุมครั้งนี้ยืนยันว่ายังไม่มีวาระการลงมติแต่อย่างใด เป็นการนำข้อเสนอแนะของกฤษฎีกา และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาพิจารณาด้วย

นอกจากนี้ จะมีการจัดตั้งอนุกรรมการศึกษาแนวทางไม่ให้เกิดการทุจริตในการดำเนินโครงการ และอนุกรรมการศึกษาการเชื่อมต่อระบบการทำดิจิทัลวอลเลต ซึ่งได้หารือเบื้องต้นไปแล้ว และจะมีโครงสร้างคณะอนุกรรมการที่ชัดเจนในครั้งนี้ ทั้งการเชื่อมโยงกับธนาคารพาณิชย์เพื่อสร้างความมั่นใจไม่ให้เกิดการทุจริต มอบหมายส่วนงานที่เกี่ยวข้องไปศึกษาและรายงานผลต่อบอร์ดชุดใหญ่ ซึ่งบอกไม่ได้ว่าต้องใช้เวลานานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน

“ระยะเวลาการดำเนินโครงการ ขอให้ที่ประชุมคณะกรรมการโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเลตเป็นคนกำหนด ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ยืนยันว่าไม่นาน แต่อยากให้รอที่ประชุมก่อน ส่วนแหล่งเงินในการดำเนินการโครงการ ยืนยันว่าเป็นการออก พ.ร.บ.กู้เงินอยู่” นายจุลพันธ์กล่าว

นายจุลพันธ์กล่าวต่อว่า ประเด็นเรื่องวิกฤตเศรษฐกิจนั้น รัฐบาลไม่ได้ก้าวข้ามเรื่องนี้ เรื่องนี้ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ต้องนำมาพิจารณา แต่ยืนยันในเรื่องหนึ่งว่า คำว่าวิกฤตหรือไม่ แม้แต่ธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เองก็ไม่มีคำนิยามที่ชัดเจน มันสามารถวิเคราะห์สถานการณืได้อย่างหลากหลาย

ขณะนี้เองรัฐบาลมองว่าเศรษฐกิจไทยอยู่ในจุดที่เปราะบางและวิกฤตจริง ๆ ดูจากตัวเลขที่ออกมาในช่วง 1-2 เดือนล่าสุด ไม่มีทรง มีแต่ทรุด ตรงนี้ประกอบเข้ากับนโยบายของรัฐบาลที่ได้เติมเข้าไปแล้ว ทั้งเรื่องท่องเที่ยว ทั้งการลดค่าครองชีพแล้วก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลจะขับเคลื่อนอย่างเต็มกำลัง แต่มันมีกลไกหลายอย่าง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง สถานการณ์ดอกเบี้ยก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่กดทับพี่น้องประชาชนให้ไม่มีกำลังในการจับจ่ายใช้สอย

ทั้งนี้ รัฐบาลยืนยันว่าไม่มีคำว่าทำหรือไม่ทำโครงการดิจิทัลวอลเลต มีแค่คำว่า ทำ แต่เมื่อไหร่เท่านั้น โดยขณะนี้ยอมรับว่ายังมีความแตกแยก แตกต่างทางความคิดอยู่ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจให้ครบถ้วนก่อนในประเด็นที่เป็นข้อห่วงใย ซึ่งรัฐบาลต้องตอบข้อห่วงใยเหล่านั้นให้ได้ จึงต้องใช้เวลา เพราะรัฐบาลจะเดินหน้าเรื่องนี้โดยที่ไม่ระมัดระวังเรื่องกรอบกฎหมายคงเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกรอบและขั้นตอน