คอลัมน์ : สัมภาษณ์
“เป้าการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพสามิตในปี 2567 ที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงการคลังอยู่ที่ 598,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 31,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5.5% แต่กรมยังมีหน้าที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและช่วยเหลือดูแลค่าครองชีพประชาชนตามนโยบายรัฐบาลด้วย
โดยเฉพาะการลดภาษีน้ำมันดีเซลในปีที่ผ่านมา 5 บาท/ลิตร และ 1 บาท/ลิตร ทำให้สูญเสียรายได้ไปประมาณกว่า 100,000 ล้านบาท” คำกล่าวของ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมสรรพสามิต ที่ให้สัมภาษณ์ถึงทิศทางนโยบาย ในโอกาสที่กรมสรรพสามิต ครบรอบ 92 ปี
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
เดินหน้า “กรม ESG” ต่อเนื่อง
“ดร.เอกนิติ” กล่าวว่า ในปี 2567 กรมสรรพสามิตยังเดินหน้าเป็น “กรม ESG” หรือมีนโยบายที่สนับสนุนสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) อย่างต่อเนื่อง ผ่านการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ EASE Excise
โดยมุ่งเน้นนโยบายภาษีสรรพสามิตที่ส่งเสริมภาษีสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ได้แก่ มาตรการภาษีคาร์บอน (Carbon Tax) นโยบายส่งเสริมการนำเอทานอลไปใช้ในอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ มาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า EV 3.5 มาตรการปรับโครงสร้างภาษีแบตเตอรี่เพื่อส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และมาตรการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีรถยนต์เพื่อผู้พิการและผู้สูงอายุ
“หนุนอีวี-เก็บภาษีคาร์บอน”
“มาตรการอุดหนุนราคารถยนต์อีวี อันนี้คือการขับเคลื่อนเรื่องสิ่งแวดล้อมที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ตรงนี้จะเห็นเลยว่าภาษีที่ลดลง ทําให้ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมียอดขายอีวีในปีที่ผ่านมากว่า 70,000 คัน สูงกว่าปีก่อนหน้าถึง 646% เติบโตอันดับ 1 ในอาเซียน ในขณะที่ประเทศไทยมียอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า 21,677 คัน เติบโตจากปี 2565 ถึง 125%”
นอกจากนี้ เงื่อนไขที่กรมสรรพสามิตกำหนดให้ผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการต้องผลิตรถยนต์ EV ในไทยชดเชย และมาตรการส่งเสริมการลงทุน ทำให้การลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนกว่า 6.1 หมื่นล้านบาท เป็นการรักษาฐานการผลิตของประเทศไทย และมุ่งเน้นสิ่งแวดล้อมด้วย
ขณะที่ภาษีคาร์บอนนั้น รัฐบาลกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ และปัจจุบันมีหลายธุรกิจที่ปล่อย CO2 สูงมาก อาทิ สินค้ากลุ่มพลังงานและกลุ่มขนส่ง ประมาณ 70-80% ของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งการจัดเก็บภาษีในส่วนนี้จะสอดคล้องกับกติกาโลก และมาตรฐานสากลด้วย
รื้อภาษียาสูบ-เก็บบุหรี่ไฟฟ้า
ในด้านสุขภาพนั้น “เอกนิติ” กล่าวว่า กรมอยู่ระหว่างศึกษาปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบ โดยหารือร่วมกับหลาย ๆ หน่วยงาน ต้องยอมรับว่า มีความต้องการที่หลากหลาย โดยหากพิจารณาจากบทเรียนการศึกษาของต่างประเทศ จะพบว่า ทั่วโลกมีการจัดเก็บภาษีแบบ 2 อัตรา อยู่เพียง 7 ประเทศเท่านั้น
ขณะที่ข้อมูลจากธนาคารโลก (World Bank), ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) สนับสนุนว่าควรมีการจัดเก็บภาษียาสูบแบบอัตราเดียว ทำให้ต้องรับฟังความเห็นและมุมมองอย่างครบถ้วน ซึ่งผลการศึกษาใกล้จะมีความชัดเจนออกมาแล้ว
อย่างไรก็ดี ในปีนี้กรมจะผลักดันกำหนดพิกัดบุหรี่ไฟฟ้าเข้าไปอยู่ในพิกัดภาษีสรรพสามิต เพราะปัจจุบันมีความนิยมบริโภคเป็นอย่างมาก แม้ว่าสินค้าดังกล่าวจะเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่กรมไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ โดยเฉพาะการขายในระบบออนไลน์ ก็ตรวจพบบุหรี่ไฟฟ้าจำนวนมาก เพิ่มขึ้น 40% ซึ่งการปราบปราม ต้องส่งเรื่องให้ตำรวจดำเนินคดี
“ภาษีบุหรี่นั้น มีความซับซ้อน ในอดีตถือว่าเป็นสินค้าที่หาสิ่งทดแทนได้ยาก แต่ปัจจุบันทดแทนได้ง่าย คือ บุหรี่ไฟฟ้า โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้บริโภคบุหรี่ลดลง สวนทางกับบุหรี่ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่ได้อยู่ในพิกัดภาษี ทำให้เมื่อตรวจพบไม่สามารถปราบปรามได้ เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจ เช่นเดียวกับกัญชา ใบกระท่อม ต้องส่งให้ตำรวจดำเนินคดีเท่านั้น”
“ภาษีไวน์-สุราชุมชน” ปรับใหม่
“อธิบดีกรมสรรพสามิต” กล่าวอีกว่า จากที่รัฐบาลได้ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวและการใช้จ่าย โดยคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติปรับโครงสร้างภาษีอากรและภาษีสรรพสามิต สุรา และไวน์ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 2567 ซึ่งเมื่อบังคับใช้ จะทำให้ภาษีไวน์ลดลงเหลือประมาณ 100 บาทต่อขวด เช่นเดียวกับการปรับโครงสร้างภาษีสุราพื้นบ้าน ก็เพื่อส่งเสริมรายได้ชุมชน
“ยอมรับว่าในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เริ่มเห็นการชะลอการซื้อ-ขายไวน์ ซึ่งถือเป็นธรรมชาติของการทำธุรกิจ แต่กรมได้มีการประสานไปยังผู้ประกอบการล่วงหน้าแล้วว่า กฎกระทรวงเรื่องการปรับปรุงอัตราภาษีไวน์และสุราแช่พื้นบ้าน ไวน์ผลไม้ สุราแช่ชนิดอื่น ๆ จะประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้ผู้ประกอบการได้เตรียมตัว”
“คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และคาดว่าจะส่งผลให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 900 ล้านบาท ถึง 1,000 ล้านบาท และโครงสร้างภาษีใหม่จะทำให้ราคาขายปลีกแนะนำสอดคล้องและสะท้อนราคาที่เป็นจริงมากขึ้น และทำให้มีการหลีกเลี่ยงภาษีได้ยากยิ่งขึ้นด้วย”
นอกจากนี้ กรมสรรพสามิตจะมีการนำระบบเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการช่วยจัดเก็บภาษีไวน์ เพียงสแกนลงไปที่แสตมป์ จะพบข้อมูลของไวน์ขวดนั้น ๆ ว่า มาจากประเทศอะไร ราคาเท่าใด ซึ่งจะสะท้อนราคาที่เป็นจริง และทำให้การหลบเลี่ยงภาษีทำได้ยากมากขึ้น ประชาชนก็สามารถตรวจสอบสินค้าไวน์ได้ว่าเป็นของจริง หรือเป็นสินค้าหลบเลี่ยงภาษีหรือไม่ เป็นการทำให้ระบบโปร่งใสมากขึ้น
ยกระดับมาตรฐานเก็บภาษี
“อธิบดีกรมสรรพสามิต” กล่าวด้วยว่า ขณะที่ด้านพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ จะมุ่งเน้นการยกระดับการพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้ทำงานได้คล่องตัว (Agile Ways of Working) และพัฒนาทักษะที่จำเป็นในอนาคต (Future Skills) เช่น AI และ Data Analytics รวมทั้งการพัฒนาคุณภาพชีวิตบุคลากรให้เก่ง ดี มีความสุข
ด้านพัฒนากระบวนการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตให้มีมาตรฐาน (Standardization) เช่น การวางมาตรฐานธรรมาภิบาลข้อมูล และวางมาตรฐานการปราบปรามผู้กระทำผิดเชิงรุกกับหน่วยงานปราบปรามที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการทบทวนกฎหมายภาษีสรรพสามิตที่บังคับใช้ในปัจจุบัน หรือยกเลิกกฎหมายที่ล้าสมัย หรือลดขั้นตอนที่ไม่จำเป็น (Regulatory Guillotine)
นอกจากนี้ ด้านการส่งเสริมนวัตกรรมการให้บริการแบบไร้รอยต่อ (End-to-end Service) เพื่อให้ประชาชนผู้รับบริการได้รับความสะดวกและเจ้าหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่รวดเร็ว เพื่อให้เกิดประสบการณ์ที่ดีกับการให้บริการของกรมสรรพสามิต