“ไทยรับประกันภัยต่อ” ปิดปี 2566 กวาดรายได้ 4.6 พันล้านบาท พลิกกำไร 231 ล้านบาท โต 219% ขยายตัวทั้งทุกธุรกิจรับ Hard Market อัตราเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น ตั้งเป้าปี’67 เบี้ยประกันโต 10%
วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยรับประกันภัยต่อ จำกัด (มหาชน) หรือ THRE ผู้ให้บริการด้านการรับประกันภัยต่อ (Professional Reinsurer) ครอบคลุมทั้งการรับประกันภัยทรัพย์สิน อุบัติเหตุ วิศวกรรม ภัยทางทะเลและการขนส่งสินค้าต่างประเทศ
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- KBANK ปรับโครงสร้างใหญ่ ลดจำนวนบอร์ด ตั้ง 4 เอ็มดีเป็น “ผู้จัดการใหญ่” มีผล 1 พ.ค.67
เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2566 ว่า มีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 4,654 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 798 ล้านบาท เติบโต 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิอยู่ที่ 3,856 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 231 ล้านบาท พลิกฟื้นทำกำไรจากช่วงเดียวกันปีก่อน ที่ขาดทุนสุทธิ 194 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นสูงถึง 219%
โดยผลประกอบการในปี 2566 บริษัทสามารถทำรายได้และกำไรเติบโตโดดเด่นได้อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่เริ่มต้นปี ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวทั้งในส่วนงาน Personal line และ Commercial line ที่ขยายเนื่องจากการปรับกลยุทธ์ของบริษัทหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย และตลาดประกันภัยต่อโดยรวมยังอยู่ในสภาวะแข็งตัว (Hard Market) ที่อัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับอยู่ในช่วงขาขึ้น
ส่งผลให้บริษัทสามารถขยายตลาดได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดย Combined Ratio ของบริษัทในปี 2566 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 96.8% ปรับตัวจากปีก่อนที่ทำไว้ที่ 108.3%
นอกจากนี้ ธุรกิจประกันภัยต่อที่ดำเนินการในตลาดต่างประเทศก็มีการเติบโตอย่างโดดเด่น สอดคล้องตามกลยุทธ์การมุ่งเน้นขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ กัมพูชา เวียดนาม และฟิลิปปินส์ และในปี 2566 เบี้ยประกันภัยต่อรับของลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ระดับ 193 ล้านบาท นับเป็นการเติบโตสูงถึง 184% โดยปัจจุบันสัดส่วนเบี้ยประกันภัยต่อรับจากลูกค้าต่างประเทศอยู่ที่ 4% ของพอร์ตเบี้ยประกันภัยต่อรับรวม และคาดว่าสัดส่วนดังกล่าวจะโตขึ้นเป็น 8% หรือ 2 เท่าตัวในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
นายโอฬารกล่าวต่อว่า ภายใต้สถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ประกอบสภาวะความผันผวนสูงของตลาดทุนในช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทปรับกลยุทธ์การลงทุนด้วยการเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในสัดส่วน 70% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด ในเงินฝากและพันธบัตร ซึ่งในปี 2566 บริษัทสามารถทำรายได้เงินลงทุนสุทธิ 64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20 ล้านบาท หรือเติบโต 45% จากปีก่อนที่ทำไว้ 44 ล้านบาท
และสามารถทำอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ระดับ 2.5% ซึ่งอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยบริษัทยังคงติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดทุนอย่างใกล้ชิด เพื่อหาโอกาสเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดทุน และคาดว่าจะสามารถทำผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้นได้ในปี 2567 นี้
ในขณะเดียวกัน บริษัท บลูเวนเจอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BVG ซึ่งเป็นบริษัทลูก ยังมีผลประกอบการปีที่ผ่านมาเติบโตโดดเด่น จากปริมาณการใช้งานระบบและฐานลูกค้าที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ทั้งในส่วนของการให้บริการสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์และประกันสุขภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) สำหรับการให้บริการสินไหมทดแทนสำหรับรถยนต์
โดยในปี 2567นี้ BVG มีแผนเตรียมเดินหน้าโปรเจ็กต์ใหม่ ๆ ควบคู่กับการขยายตลาดไปในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะช่วยต่อยอดความแข็งแกร่งและสร้างผลตอบแทนที่ดีต่อ THRE ได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
บริษัทวางเป้าหมายเบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิปี 67 เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากตลาด Hard Market ที่อัตราเบี้ยประกันภัยต่อที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องมาจากปีที่แล้ว การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สอดคล้องตามความต้องการลูกค้าในหลากหลายรูปแบบ การมุ่งเน้นขยายการเติบโตของธุรกิจกลุ่ม Non-Conventional และการขยายฐานลูกค้าเข้าไปสู่ตลาดใหม่อย่างประเทศอินโดนีเซีย โดยจะพยายามรักษา Combine Ratio ไว้ที่ประมาณ 94-96%” นายโอฬารกล่าว
นายโอฬารกล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผลประกอบการไตรมาส 4/66 นั้น บริษัทมีรายได้เบี้ยประกันภัยต่อรับสุทธิ 1,140 ล้านบาท เติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 99 ล้านบาท เติบโต 209% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงทำกำไรอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 3/66 ที่มีกำไรสุทธิ 56 ล้านบาท จากการขยายตัวของธุรกิจทั้งในส่วนของ Personal line และ Commercial line และสภาวะอัตราเบี้ยประกันภัยต่อรับในช่วงขาขึ้น ทำให้สามารถขยายตลาดได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยสามารถรักษา combine ratio ไว้ได้ที่ 95.6% ตามเป้าหมายที่วางไว้