เงินดิจิทัลวอลเลต ชัดเจนแล้ว “นักวิเคราะห์” ชวนส่องหุ้นรับประโยชน์

หุ้น

เงินดิจิทัลวอลเลตชัดเจนแล้ว ใช้งบฯ 3 ส่วน งบประมาณปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท กู้ ธ.ก.ส. 172,300 ล้านบาท งบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท เสนอ ครม.เห็นชอบอีกครั้งเดือน เม.ย.นี้ ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ชวนส่องหุ้นรับประโยชน์

วันที่ 10 เมษายน 2567 บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กสิกรไทย รายงานว่า มีมุมมองบวกต่อผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเงินดิจิทัลวอลเลต ซึ่งสรุปลุยดำเนินการโครงการเติมเงินดิจิทัลวอลเลตปลายปี 2567

– โดยเริ่มเติมเงินไตรมาส 3/2567 และเริ่มใช้ได้ไตรมาส 4/2567 โครงการมีอายุ 6 เดือน

– กลุ่มเป้าหมาย (เหมือนเดิม)-อายุ 16 ปี ขึ้นไป/รายได้ต่อปีไม่เกิน 840,000 บาท (70,000 บาทต่อเดือน)/มีเงินในบัญชีไม่เกิน 500,000 บาท คนที่เข้าร่วมโครงการ Easy E-Receipt ยังสามารถเข้าร่วมโครงการนี้ได้

-ร้านค้า (ปรับใหม่)-ใช้ได้กับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น (แม็คโครไม่ได้)

-การใช้ (ปรับใหม่)-ใช้ซื้อบริการ น้ำมัน สินค้าอบายมุข และของออนไลน์ไม่ได้

-การถอน (ปรับใหม่)-ร้านที่ถอนเงินสดได้ คือต้องจดทะเบียนจ่าย VAT ภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นอกจากนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการทุจริตและให้เงินหมุนเวียนในระบบมากที่สุด ร้านค้าจะถอนทันทีไม่ได้ จะถอนได้ก็ต่อเมื่อตั้งแต่ใช้ครั้งที่ 2 หรือ 2 ทอดขึ้นไป

-แอป (ปรับใหม่)-รัฐจะพัฒนา Super App ใหม่เพื่อรองรับ เดิมจะใช้ App เป๋าตัง

– แหล่งเงินสนับสนุน (ปรับใหม่)-ใช้กรณีผสมผสานคือ ใช้งบประมาณปี 2567 (1.7 แสนล้านบาท) และงบประมาณปี 2568 (1.5 แสนล้านบาท) + กู้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) (1.7 แสนล้านบาท) ผ่าน ม.28 หรือนโยบายกึ่งการคลังข้ามไปงบประมาณปี 2568 ทำให้กู้เพิ่มได้มากกว่าที่เราคาด โดยไม่มีการปรับเพิ่มเพดาน ม.28 ที่ 32% เท่าเดิม

-รัฐบาลคาดจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ราว 1.2-1.6% จากกรณีฐานที่คาดการณ์สูงกว่าที่ บล.กสิกรไทย คาดไว้ที่ 0.50%

ด้าน บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) รายงานว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีแถลงโครงการ Digital Wallet จะให้สิทธิแก่ประชาชนประมาณ 50 ล้านคน (ผู้มีอายุเกิน 16 ปี ไม่มีเงินได้พึ่งประเมินเกิน 8.4 แสนบาท และเงินฝากไม่เกิน 5 แสนบาท) วงเงิน 5 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย 1.2-1.6% จากกรณีฐาน

ในด้านแหล่งเงินที่มา ปลัดกระทรวงการคลังเผยเงิน 5 แสนล้านบาท มาจาก 3 ส่วนคือ 1.งบประมาณปี 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท 2.การดำเนินการของหน่วยงานรัฐ (ธ.ก.ส.) จำนวน 172,300 ล้านบาท และ 3.งบประมาณปี 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท นอกจากนี้ จะมีการเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอีกครั้งในเดือน เม.ย. 2567

ทางฝ่ายวิจัยมีมุมมองความคืบหน้าของโครงการดังกล่าว จะเป็นแรงหนุนต่อกำลังซื้อผู้บริโภคในช่วงปลายปี 2567 ทั้งนี้ ด้วยเงื่อนให้ที่ให้ประชาชนซื้อสินค้าจากร้านค้าขนาดเล็ก ซึ่งรวมร้านค้าปลีกทุกประเภท ทั้งในรูปแบบ Stand alone และในปั๊ม (แต่ไม่รวมห้างค้าปลีก/ค้าส่งขนาดใหญ่ Supermarket และห้างสรรพสินค้า)

ส่งผลให้เป็นบวกต่อร้านค้าปลีกที่มีสาขาจำนวนมาก รวมถึงสินค้าที่วางจำหน่ายตามร้านต่าง ๆ ขณะที่ร้านค้าส่งขนาดใหญ่มองได้ประโยชน์ทางอ้อมจากการใช้จ่ายในรูปแบบ B2B

นอกจากนี้ มอง SET Index จะได้แรงหนุนจากการคลายกังวลเรื่องแหล่งที่มาของวงเงินสำหรับใช้ในการโครงการ โดยหุ้นเด่นประกอบด้วน BJC, CPALL, CPAXT, CRC, NSL, OSP, SAPPE, SNNP, TACC

บล.ฟินันเซีย ไซรัส รายงานว่า โดยรวมมีมุมมองเป็นบวกต่อการบริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม ค้าปลีก ไฟแนนซ์ อาหาร เครื่องดื่ม ชื่นชอบ CPALL, TIDLOR, NSL, KCG, TACC