ส่องเทรนด์หุ้นไทยขานรับการเลือกตั้ง

สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยว่า จากประเด็นการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น สมาคมนักวิเคราะห์ฯ มองว่า หากได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การลงทุนภาครัฐที่มีการปูพื้นไว้จะถูกสานต่อ จากปัจจุบันยังเหลืองบการทุนอีกราว 2 ล้านล้านบาท นอกจากนี้ยังมองว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจกลุ่มรากหญ้าซึ่งจะช่วยสร้างสีสันให้กับเศรษฐกิจไทยได้ เนื่องจากการบริโภคภาคครัวเรือนเป็นมีสัดส่วนสูงถึง 50% ต่อจีดีพีไทย

ในส่วนของตลาดหุ้น สมาคมนักวิเคราะห์คาดว่าจะกลับมาคึกคักหลังวันที่มีการประกาศใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในช่วงต้นเดือน ธ.ค.61 และในปีหน้าคาดว่าจะเห็นฟันด์โฟลว์ต่างชาติกลับเข้ามา มองดัชนีฯ เป้าหมายไตรมาสสุดท้ายถึงต้นปีหน้าที่ 1,733 จุด อาจมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตต้องดูแนวโน้มช่วง ธ.ค.61 ที่จะได้เห็นการหาเสียงของพรรคการเมืองและนโยบายของแต่ละพรรค

อย่างไรก็ดีในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลง จากประเด็นลบอย่างสงครามการค้าที่อาจส่งผลกระทบให้ปริมาณการซื้อขายหุ้น (Volume) ในปีหน้าลดน้อยลง ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในปีนี้ ประเด็นอัตราเงินเฟ้อ และวิกฤตค่าเงินในตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) เป็นความเสี่ยงที่ทำให้การค้าโลกปั่นป่วน มองปีหน้าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าที่คาด

นางภรณี ทองเย็น อุปนายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน เปิดเผยว่า เทรนด์หุ้นช่วงการเลือกตั้ง มีหุ้น Domestic Play หลายกลุ่มที่ได้รับประโยชน์ โดยกลุ่มแรก คือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ด้วยโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ จะมีการเดินหน้าสานต่อ โดยเฉพาะการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานก็เป็นปัจจัยบวกแก่หุ้นกลุ่มนี้ รวมทั้งปัจจุบันมีงบการลงทุนภาครัฐที่เหลืออยู่รวมเม็ดเงินที่ลงทุนในโครงการอีอีซีและโครงการท่าเรือราว 3 ล้านล้านบาท คาดว่ากลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับผลประโยชน์จากการสานต่อโครงการต่างๆ ของรัฐ แนะหุ้น CK และ STEC เนื่องจากเป็นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่ค่อนข้างเข้มแข็ง

ถัดมาเป็นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งตอนนี้เริ่มเห็นการขยับขึ้นมาแล้ว ได้แก่หุ้น WHA และ AMATA กลุ่มต่อมาคือ กลุ่มสาธารณูปโภค ที่ล่าสุดมีการพิจารณาการลงทุนโรงไฟฟ้าสนามบินอู่ตะเภาซึ่ง BGRIM คว้าไปได้ นอกจานี้เมื่อมีการขยายนิคมอุตสาหกรรมความต้องการในการใช้น้ำประปาจะตามมาด้วย นางภรณี แนะหุ้นผลิตน้ำดิบ EASTW ที่อาจไม่ได้เป็นที่สนใจนัก แต่การขายน้ำดิบให้ภาคอุตสาหกรรมจะดีตามไปด้วยเมื่อโครงการอีอีซีเกิดขึ้นและมีการลงทุนชัดเจนความต้องการน้ำก็จะมากขึ้น แม้ช่วงนี้จะลดลงจากความต้องการน้ำในฤดูนี้น้อย แต่ในระยะกลางและยาวถือเป็นหุ้นที่น่าจับตามอง ด้าน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ เป็น “แหล่งเงินทุน” นางภรณีแนะหุ้น BBL เป็นหุ้นท็อปพิค และธนาคารขนาดเล็กที่รองลงมาคือ TCAP

ส่วนหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่เน้น คือ หุ้นที่เกี่ยวกับบริโภคภาค ในจีดีพี 100% เป็นการบริโภคภาคครัวเรือนครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้น กลุ่มค้าปลีก คาดว่าจะเป็นกลุ่มที่ไปได้เรื่อยๆ อย่าง CPALL ที่ได้สะท้อนข่าวไม่ดีออกบ้างมาแล้ว จากการลงทุนในแมคโครที่มีผลทำให้ค่าใช้จ่ายสูง อาจทำให้ผลประกอบการระยะสั้นไม่ค่อยดีมาก แต่ในระยะยาวจะทำให้ CPALL เติบโตได้ดี ต่อมาคือหุ้น BJC ที่ประกอบธุรกิจค้าปลีก ถือหุ้นในห้างสรรพสินค้าบิ๊กซีและมีธุรกิจผลิตขวดทั้งในไทยและต่างประเทศ เป็นหุ้นที่มีแนวโน้มผลประกอบการดี ราคาหุ้นยังมีช่องว่างให้ขยับขึ้นอีก

ส่วนหุ้น กลุ่มสื่อนอกบ้าน ในช่วงหาเสียงส่วนใหญ่หุ้นกลุ่มสื่อนอกบ้านมีการขยับขึ้น ได้แก่ หุ้น VGI ที่จัดทำสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้า MACO ที่จัดทำสื่อโฆษณาประเภทบิวบอร์ด และ PLANB ที่บริษัทย่อยจัดทำโฆษณารถไฟฟ้าใต้ดิน กลุ่มสุดท้ายที่ยังไปได้เรื่อยๆ คือ กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้แก่ ADVANC มองจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปใช้โทรศัพท์มือถือในการทำธุรกรรมต่างๆ มากขึ้น

นางภรณีเสริมว่า ยังมีกลุ่มสินเชื่อส่วนบุคคลและสินเชื่อทะเบียนรถ เช่น SAWAD และ MTI ที่ยังไปได้ดี ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นหุ้นหลักๆ ที่แนะนำให้ลงทุนข้ามไปปีหน้า