“ดร.อนุสรณ์” แนะ 9 มาตรการแก้เหลื่อมล้ำในสังคม-เศรษฐกิจไทย

อนุสรณ์ ธรรมใจ
อนุสรณ์ ธรรมใจ
ผศ. ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวถึงกรณีที่ CS Global Wealth Report 2018 โดยธนาคารเครดิตสวิส ระบุว่าประเทศไทยความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งและการถือครองทรัพย์สินสูงที่สุดในโลก
 
ทั้งนี้ ความเหลื่อมล้ำสามารถวัดได้หลายมิติ อาทิ ความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่ง (Wealth) และการถือครองทรัพย์สิน, ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้, ความเหลื่อมล้ำทางด้านโอกาส, ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยภาพรวม, ความเหลื่อมล้ำทางด้านสิทธิ, ความเหลื่อมล้ำทางด้านอำนาจ, ความเหลื่อมล้ำด้านศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และความเสมอภาคทางสังคม
 
“การกล่าวว่าประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งและการถือครองทรัพย์สินสูงที่สุดในโลกไม่น่าจะผิดและเป็นข้อมูลล่าสุดเนื่องจากข้อมูลได้ถูกรวบรวมเรียบเรียงจากหน่วยงานทางด้านเศรษฐกิจของไทยแล้วนำไปวิเคราะห์และวิจัยและปรากฎในรายงาน CS Global Wealth Report 2018”
 
โดยพบว่า คนไทยเพียง 1% ถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่ง 66.9% และเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดในช่วงสองปีที่ผ่านมา
 
สถาบันการเงินเครดิตสวิส ได้เคยออกรายงานความมั่งคั่งของโลก ระบุว่า ไทยเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 3 ของโลกโดยคนรวยที่มีสัดส่วน 1% ของประชากร ครอบครองความมั่งคั่งสูงถึง 58% ของระบบเศรษฐกิจ
 
นอกจากนี้ ข้อมูลของโครงสร้างเงินฝากในระบบสถาบันการเงินยังพบว่า คนรวย 0.1% หรือ 65,000 คน จากประชากรทั้งหมด 65 ล้านคน มีเงินฝากเท่ากับ 49% ของเงินฝากทั้งระบบ กลุ่ม 10% แรกของประชากร เป็นเจ้าของทรัพย์สิน 79% ของประเทศ
 
มหาเศรษฐี 50 อันดับแรกของไทยมีสัดส่วนทรัพย์สินเทียบกับจีดีพีของประเทศเพิ่มขึ้นจาก 26% ในปี 2557 เพิ่มเป็น 30% ( มีทรัพย์สินทั้งหมด 4.32 ล้านล้านบาท) ในปี 2560 ภายใต้รัฐบาล คสช. หมายความว่า มีคนเพียง 50 คนที่ถือครองทรัพย์สินมากกว่า หนึ่งในสี่ ของจีดีพี
 
รายงาน CS Global Wealth Report ของธนาคารเครดิตสวิสอาจจะไม่ครบถ้วนทั้งหมด ข้อมูลความมั่งคั่งหรือทรัพย์สินที่ถือครองที่ใช้เป็นทรัพย์สินที่จดทะเบียนอย่างเป็นทางการ เช่น เงินฝาก ที่ดินอสังหาริมทรัพย์
 
ในขณะที่ทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ เช่น อัญมณีเครื่องประดับ ของสะสมที่มีมูลค่าสูง (ภาพเขียน ศิลปะต่างๆ แสตมป์ พระเครื่อง) นาฬิกาหรู กระเป๋าหรู รถหรู ฯลฯ ไม่ได้นับรวม หากนับรวม คน 1% อาจถือครองความมั่งคั่งและทรัพย์สินมากกว่า 70% ของทรัพย์สินและความมั่งคั่งของประเทศ
 
ตนเชื่อว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งและทรัพย์สินนี้น่าจะรุนแรงกว่าตัวเลขที่ปรากฎเผยแพร่เนื่องจากเราไม่สามารถสำรวจข้อมูลและเข้าถึงข้อมูลการถือครองทรัพย์สินของกลุ่มประชากรที่มีรายได้และถือครองทรัพย์สินสูงสุด 5-10% ได้อย่างครบถ้วน ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์นี้จะนำมาสู่ความยุ่งยากในการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินในอนาคต
 
ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งและการถือครองทรัพย์เป็นปัญหาในเชิงโครงสร้างที่สะสมมานานและต้องใช้เวลาในการแก้ไข สถานการณ์ในอนาคตอาจดีขึ้นเมื่อเริ่มมีการบังคับใช้ภาษีมรดกและภาษีที่ดิน รวมทั้ง การกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น
 
ดร. อนุสรณ์กล่าวอีกว่า ปัญหาความเหลื่อมล้ำของการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งยังคงรุนแรงขึ้นในไทยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หรือการให้สัมปทานกับทุนขนาดใหญ่และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของที่ดินตามแนวการก่อสร้างระบบขนส่งคมนาคมทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นทางด้านมูลค่าทรัพย์สินและความมั่งคั่งในอัตราก้าวหน้า จึงเป็นโจทย์และความท้าทายว่าทำอย่างไรที่จะทำให้ความมั่งคั่งและการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินเหล่านี้กระจายตัวให้ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับผลประโยชน์ร่วมด้วย
 
ซึ่งต้องมีการศึกษาเพื่อนำระบบภาษีเพิ่มมูลค่า (Betterment Tax) หรือภาษีลาภลอย (Windfall Tax) มาบังคับใช้ จะนำรายได้ภาษีส่วนหนึ่งไปพัฒนาพื้นที่อื่นๆไม่ให้เกิดการกระจุกตัว
 
นอกจากการที่มีการแสวงหาค่าเช่าทางเศรษฐกิจ (Economic Rent) จำนวนมากภายใต้การเมือระบบปิด และการดำเนินนโยบายเสรีนิยมสุดโต่ง ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานโดยไม่ใช้กลไกรัฐในการแทรกแซงเพื่อสร้างความเป็นธรรมล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งย่ำแย่ลง
 
แม้นนโยบาย EEC จะมีประโยชน์และควรเดินหน้าต่อแต่ต้องปรับเปลี่ยนให้มีความสมดุลมากขึ้นโดยเฉพาะผลกระทบที่มีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม ผลกระทบจากนโยบาย EEC ที่ทำให้ชาวบ้านสูญเสียที่ทำกินและมีการเก็งกำไรที่ดินในพื้นที่ EEC อย่างรุนแรงจนประชาชนหรือกลุ่มธุรกิจขนาดกลางขนาดเล็กไม่สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่ดินได้เหมือนเดิม
 
มีงานวิจัยจำนวนไม่น้อยบ่งชี้ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญปัญหา “การตะครุบที่ดิน (land grabbing) โดยทุนต่างชาติขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหลายและจังหวัดที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาค
 
ระบบข้อมูลการถือครองที่ดินที่ไม่ชัดเจนจะทำให้ปัญหาการตะครุบที่ดินรุนแรงมากขึ้นในอนาคต แม้นที่ดินเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายออกนอกประเทศได้ แต่การเป็นเจ้าของที่ดินอาจส่งผลต่อการใช้ทรัพยากรที่ดินซึ่งรัฐอาจมีปัญหาในการควบคุมการใช้ได้
 
ปัญหาการตะครุบที่ดินเกิดขึ้นในหลายประเทศในละตินอเมริกาและแอฟริกา และสร้างความไม่สมดุลและเพิ่มความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรงในประเทศเหล่านี้
 
อย่างไรก็ตาม ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจโดยรวมไม่ได้แย่ลงแต่ไม่ดีขึ้นมากนัก แม้นการกระจายรายได้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย จากงานวิจัยของ ศ. ดร. ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์และคณะ พบว่า ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ดีขึ้นเล็กน้อยโดยวัดจากดัชนีจินี
 
โดยค่าดัชนีจินีเท่ากับ 0.45 ในปี 2558 (ข้อมูลล่าสุดที่มีการคำนวณ) จากที่เคยอยู่ที่ระดับ 0.51 ในปี 2549 (ดัชนีจีนีเข้าใกล้ 1 แสดงว่าความเหลื่อมล้ำมากขึ้น เข้าใกล้ 0 ความเหลื่อมล้ำลดลง สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น)
การที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น ตนเห็นว่าเป็นผลมาจากนโยบายและมาตรการต่างๆของหลายรัฐบาลที่ผ่านมาโดยเฉพาะนโยบาย “เอื้อคนจน” (Pro-poor policy) ไม่ว่า จะเป็นการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำแบบก้าวกระโดด นโยบายแทรกแซงราคาสินค้าเกษตรทั้งมาตรการรับจำนำข้าว มาตรการประกันราคา การเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ บทบาทของกองทุนหมู่บ้าน นโยบายหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ สวัสดิการทางด้านการศึกษา หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้นของผู้ประกันจากกองทุนประกันสังคม เงินอุดหนุนแม่และเด็ก เป็นต้น
 
ส่วนโครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ในภาคธุรกิจยังคงไม่ดีขึ้นมากนักโดย บริษัทขนาดใหญ่ 20% แรกของประเทศจะมีสัดส่วนรายได้คิดเป็น 90% ของรายได้ของบริษัททั้งหมดในประเทศ
ผศ. ดร. อนุสรณ์กล่าวในฐานะอดีตกรรมการนโยบายและกำกับบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลังว่า มาตรการต่างๆในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางด้านความมั่งคั่งและความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจนั้น กระทรวงการคลังแก้ไขปัญหานี้ได้โดยตรงผ่านการบังคับกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีทรัพย์สิน (ภาษีมรดก ภาษีที่ดิน ภาษีเงินฝาก) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
โดยความรุนแรงของปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจนี้เป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขโดยเร่งด่วน แม้นเป็นเรื่องที่แก้ไขยากและต้องใช้เวลา จึงขอเสนอมาตรการเพื่อแก้ปัญหา 9 มาตรการดังต่อไปนี้
 
มาตรการที่ 1 ปฏิรูปการถือครองทรัพย์สินและความมั่งคั่งให้เกิดความเป็นธรรม ใช้กลไกภาษีทรัพย์สินให้เกิดการกระจายตัวของทรัพย์สินและความมั่งคั่งเพิ่มขึ้น ปรับปรุงภาษีต่างๆให้มีอัตราก้าวหน้ามากขึ้น
 
มาตรการที่ 2 จำเป็นต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อลดอำนาจผูกขาดและเพิ่มการแข่งขัน บังคับใช้หลักเกณฑ์การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจที่มีอำนาจเหนือตลาด ภายใต้ พ.ร.บ. การแข่งขันทางการค้าอย่างจริงจัง
 
มาตรการที่ 3 เพิ่มโอกาสการเข้าถึงปัจจัยการผลิตและปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพ
 
มาตรการที่ 4 เพิ่มสวัสดิการพื้นฐาน เช่น ระบบสาธารณสุขและการรักษาพยาบาล ระบบการศึกษาและการฝึกอบรมให้กับผู้มีรายได้น้อยแบบยั่งยืนและเป็นระบบ พัฒนาระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิม) ให้มีความยั่งยืนทางการเงินและคุณภาพในการให้บริการดีขึ้น พัฒนาระบบทุนการศึกษายกเลิกนโยบายเอาเงินแจก
 
มาตรการที่ 5 พัฒนาระบบนิติรัฐ ระบบความยุติธรรมและประชาธิปไตยทางการเมืองและเศรษฐกิจให้เกิดขึ้น ลดอำนาจรัฐส่วนกลาง กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น เพิ่มอำนาจประชาชน เพิ่มโอกาส เพิ่มสิทธิให้ประชนชน
 
มาตรการที่ 6 การลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ของรัฐต้องคำนึงถึงการกระจายโอกาสและการกระจายผลประโยชน์ไปยังประชาชนส่วนใหญ่ด้วย และ ควรศึกษาการเก็บภาษีลาภลอยเพื่อนำผลประโยชน์ส่วนเกินที่ได้จากการลงทุนจากงบประมาณของรัฐไปพัฒนาพื้นที่อื่นๆของประเทศ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในเชิงพื้นที่ลง
 
มาตรการที่ 7 ส่งเสริมบทบาทของภาคเอกชน องค์กรพัฒนาเอกชนในการมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม
 
มาตรการที่ 8 ลดการทุจริตคอร์รัปชันโดยเฉพาะการทุจริตในเชิงนโยบายในการผ่องถ่ายผลประโยชน์และอำนาจผูกขาดโดยรัฐไปยังกลุ่มทุนผูกขาดรายใหญ่ การปฏิรูป การลดภาระทางการคลัง การเพิ่มประสิทธิภาพใดๆของรัฐวิสาหกิจต้องอยู่บนพื้นฐานของทำให้เกิดการปรับโครงสร้างตลาดให้มีการแข่งขันเพิ่มขึ้นในกิจการนั้น
 
มาตรการที่ 9 เพิ่มค่าจ้างและผลิตภาพแรงงาน ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำให้เป็นไปตามคำนิยามของอนุสัญญาว่าด้วยการกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำฉบับที่ 131 ขององค์กรแรงงานระหว่งประเทศ พยุงราคาสินค้าเกษตรไม่ให้ตกต่ำและเพิ่มผลผลิตต่อไร่