สศค.ชี้เศรษฐกิจไทย พ.ย.โตดี คาดจีดีพี Q4/61 โตกว่า Q3/61 หลังได้แรงหนุนภาคบริโภค-ลงทุนขยายตัวต่อเนื่อง

นายพิสิทธิ์ พัวพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ในฐานะรองโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง พร้อมด้วย นายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อำนวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือนพฤศจิกายนปี 2561 ว่า “เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยการบริโภคภาคเอกชน สะท้อนจากภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี สูงสุดในรอบ 4 เดือน และการลงทุนภาคเอกชน โดยเฉพาะการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องที่ร้อยละ 26.9 ต่อปี สำหรับด้านอุปสงค์ภายนอกประเทศจากการส่งออกสินค้ามีสัญญาณทรงตัวเทียบกับปีก่อนหน้า ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาขยายตัวเป็นบวก

“ทาง สศค.ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 4 ของปี 2561 ขยายตัวได้ดีกว่าในไตรมาส 3 ของปี 2561 โดยปัจจัยหลักมาจาก การบริโภคภาคเอกชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2561 อยู่ที่ 4.1% ไตรมาส 2 ปี 2561 อยู่ที่ 6% และไตรมาส 3 อยู่ที่ 6.6% นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยจากการลงทุนของภาครัฐในปี 62 โดยเฉพาะโครงการโครงสร้างพื้นฐานในอีอีซีที่ได้ผู้ชนะการประมูลที่เริ่มโครงการดังกล่าวได้ในปี 2562 เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง โครงการรถไฟทางคู่ โครงการสนามบินอู่ตะเภา โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ฯลฯ สำหรับการประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2561 อยู่ที่ 4.5% เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา แต่จะมีการทบทวนจากการประมาณการอีกครั้ง” นายพิสิทธิ์ กล่าว

สำหรับเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง สะท้อนจากปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนพฤศจิกายน 2561 ที่ขยายตัวได้ดีที่ระดับร้อยละ 12.8 ต่อปี ภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวร้อยละ 9.6 ต่อปี ขยายตัวสูงสุดในรอบ 4 เดือน และปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ขยายตัวร้อยละ 9.4 ต่อปี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 67.5 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าเล็กน้อย โดยมีปัจจัยลบจากราคาพืชผลทางการเกษตร จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยลดลง สถานการณ์สงครามการค้า และการขยายตัวชะลอลงของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในไตรมาสที่ 3

ขณะที่เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านการลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้ดีจากการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร ขณะที่การลงทุนในหมวดก่อสร้างส่งสัญญาณชะลอตัวลงเล็กน้อย โดยการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 ที่ระดับร้อยละ 26.9 ต่อปี เนื่องจากยอดจำหน่ายรถกระบะขนาด 1 ตัน ขยายตัวร้อยละ 27.5 ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจากภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 2.1 ต่อปี ขณะที่ปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศในเดือนพฤศจิกายน 2561 ขยายตัวที่ร้อยละ 5.4 ต่อปี ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 นับตั้งแต่เดือน มีนาคม 2561 จากการขยายตัวตามการก่อสร้าง สำหรับดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 108.0 คิดเป็นการขยายตัวร้อยละ 1.3 ต่อปี จากการสูงขึ้นของดัชนีราคาหมวดเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 3.3

อุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้ากลับมาส่งสัญญาณชะลอตัว โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีมูลค่า 21.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาหดตัวที่ร้อยละ -0.95 ต่อปี อย่างไรก็ดี การส่งออกในตลาดสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และ CLMV ยังคงขยายตัวในระดับสูง โดยเฉพาะตลาดสหรัฐฯ ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบ 7 เดือน ทั้งนี้ สินค้าที่สนับสนุนการส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และทูน่ากระป๋อง เป็นต้น สำหรับมูลค่าการนำเข้าสินค้า มีมูลค่า 22.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ดุลการค้าในเดือนพฤศจิกายน 2561 กลับมาขาดดุลจำนวน 1,178 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

นายพิสิทธิ์กล่าวต่อว่า เครื่องชี้เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานในเดือนพฤศจิกายน 2561 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว โดยดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรเดือนพฤศจิกายน 2561 หดตัวที่ร้อยละ -2.9 ต่อปี โดยหดตัวใน หมวดพืชผลสำคัญ และหมวดประมง ที่ร้อยละ -3.3 และ -17.0 ตามลำดับ ขณะที่ หมวดปศุสัตว์ยังคงขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (TISI) อยู่ที่ระดับ 93.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 66 เดือน โดยค่าดัชนีที่เพิ่มขึ้นเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการทั้งขนาดย่อม กลาง และขนาดใหญ่ เนื่องจากผู้ประกอบการเร่งผลิตสินค้าชดเชยวันทำงานน้อยกว่าปกติในเดือนธันวาคม และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ แฟชั่น อาหาร กลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการปรับลดของราคาน้ำมันส่งผลดีทำให้ต้นทุนการประกอบการลดต่ำลง นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยในเดือนพฤศจิกายน 2561 มีจำนวน 3.18 ล้านคน กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.5 ต่อปี จากการขยายตัวต่อเนื่องของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ที่ขยายตัวในระดับสูง ร้อยละ 44.6 ต่อปี ซึ่งนับเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 41 เดือน นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวประเทศอื่นยังคงขยายตัวได้ดี ได้แก่ นักท่องเที่ยวอินเดียและฮ่องกง เป็นต้น ทั้งนี้ ส่งผลทำให้เดือนพฤศจิกายน 2561 มีรายได้จากการท่องเที่ยวต่างประเทศ มูลค่า 167,418 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 5.18 ต่อปี

นอกจากนี้เสถียรภาพเศรษฐกิจภายในประเทศยังอยู่ในเกณฑ์ดี และเสถียรภาพภายนอกอยู่ในระดับที่มั่นคง สะท้อนจากอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 0.9 ต่อปี ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า ตามราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่ขยายตัวในอัตราชะลอลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี สำหรับอัตราการว่างงานในเดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ร้อยละ 1.0 ของกำลังแรงงานทั้งหมด หรือคิดเป็นจำนวนผู้ว่างงาน 3.7 แสนคน ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2561 ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 41.7 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังที่ตั้งเพดานไว้ไม่เกินร้อยละ 60 ต่อ GDP ตามพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 สำหรับเสถียรภาพภายนอกยังอยู่ในระดับมั่นคง และสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกได้ สะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ เดือนพฤศจิกายน 2561 อยู่ที่ระดับ 203.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ มากกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 3.2 เท่า