Q1 กลุ่มพลังงานกำไร 8 หมื่นล้าน โรงไฟฟ้าขึ้นแท่น “พระเอก” โตแรง-หุ้นวิ่งนำ

2 โบรกฯจับชีพจรหุ้นกลุ่มพลังงาน”ยูโอบี” คาดไตรมาสแรก โกยกำไรรวมเฉียด 8 หมื่นล้านบาท ชูธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นพระเอก แรงส่งจากกำลังผลิตเชิงพาณิชย์ดันรายได้และกำไรอู้ฟู่ ชี้ราคาหุ้นวิ่งนำรอข่าวดีล่วงหน้า ค่าย “เอเซีย พลัส” แนะ “เทรดดิ้ง” รับกระแสราคาน้ำมันโลกฟื้นตัว
 
ผู้สื่อข่าวรวบรวมข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในช่วงที่ผ่านมา พบว่า นับตั้งแต่ช่วงต้นปีถึงปัจจุบัน (ณ 5 เม.ย. 62) ราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้แก่ น้ำมันและก๊าซ โรงกลั่น โรงไฟฟ้า และปิโตรเคมี มีทิศทางปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะหุ้นโรงกลั่นและโรงไฟฟ้าที่ราคาหุ้นขึ้นค่อนข้างร้อนแรง นำโดย บมจ.ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง (RATCH) +10%, บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) +8.27%, บมจ.เอสโซ่ (ประเทศไทย) (ESSO) +7.55%, บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง (SPRC) +4.85%, บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) +2.65%, บมจ.ไทยออยล์ (TOP) +2.17%, บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) +0.87% และ บมจ.บ้านปู (BANPU) +0.62%
 
นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บริษัทได้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/62 ของกลุ่มพลังงาน โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิราว 79,117 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 230% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/61 (QOQ) ที่กำไรออกมาค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นช่วงที่มีการบันทึกผลขาดทุนสต๊อกน้ำมัน (stock loss) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงรุนแรงในเวลานั้น ประกอบกับธุรกิจโรงกลั่น กำไรลดลงเกือบทุกบริษัท และธุรกิจโรงไฟฟ้าที่เป็นช่วงโลว์ซีซั่น (ไตรมาส 4) ของทุกปี
 
แต่อย่างไรก็ตาม กำไรโดยรวมของกลุ่มพลังงานช่วงไตรมาสแรกปีนี้ จะลดลง 11% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกปีก่อน (YOY) เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่นที่ปรับตัวลดลง
 
“ธุรกิจโรงไฟฟ้าถือเป็น “พระเอก” ของกลุ่มพลังงาน เราประเมินว่า ธุรกิจโรงไฟฟ้า (ทำครอบคลุม 5 บริษัท) จะทำกำไรเพิ่มขึ้นราว 492% QOQ และ 50% YOY เนื่องจากมีการเปิดขายไฟเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการใหม่ ๆ ทำให้เริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 1/62 นี้ รวมถึงปัจจัยราคาน้ำมันดิบไม่มีผลกระทบต่อกลุ่มโรงไฟฟ้ามากนัก ทำให้กำไรสุทธิของกลุ่มโรงไฟฟ้างวดไตรมาส 1/62 คาดว่าจะออกมา outperform กว่าหมวดธุรกิจอื่น ๆ ในกลุ่มพลังงานด้วยกัน
 
ส่วนธุรกิจอื่น ๆ ในกลุ่มพลังงาน โดยรวมยังมีกำไรที่เพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/61 ที่มีฐานต่ำ แต่จะลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน ดังนั้น ภาพรวมกำไรของกลุ่มพลังงานไตรมาสแรกปีนี้ ถือว่าทรงตัว เพราะผลประกอบการดีขึ้นถ้าดู QOQ จากฐานที่ต่ำ แต่ยังไม่สดใสนักเมื่อเทียบ YOY” นายกิจพณกล่าว
 
ทั้งนี้ กลุ่มพลังงานจะประกอบด้วยธุรกิจน้ำมันและก๊าซ ธุรกิจโรงกลั่น ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจเหมือง และธุรกิจปิโตรเคมี
 
อย่างไรก็ตาม นายกิจพณกล่าวว่า ราคาหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าได้ปรับขึ้นมาใกล้ราคาเหมาะสม หรือเหลือส่วนต่างจากราคาหุ้นที่เหมาะสม “ไม่มาก” แล้ว ดังนั้น หากต้องการลงทุนในกลุ่มนี้ แนะนำ “ทยอยซื้อเมื่ออ่อนตัว”
 
โดย บล.ยูโอบีฯ คัดเลือกหุ้นที่โดดเด่นที่สุด (top pick) จากแต่ละหมวดธุรกิจในกลุ่มพลังงาน ได้แก่ บมจ.ปตท. (PTT) ราคาหุ้นเหมาะสมที่ระดับ 65 บาท/หุ้น, บมจ.บางจาก (BCP) ราคาเหมาะสม 40 บาท/หุ้น, บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) ราคาเหมาะสม 78 บาท/หุ้น และ บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) ราคาเหมาะสม 77 บาท/หุ้น ส่วนราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัว ยังมองเป็นปัจจัยเชิงบวก เนื่องจากปริมาณน้ำมันดิบ (supply) ยังค่อนข้างตึงตัวจากการที่กลุ่มโอเปก (OPEC) ควบคุมกำลังการผลิตอย่างเข้มงวด รวมถึงสหรัฐยังคงดำเนินนโยบายคว่ำบาตรอิหร่านอย่างต่อเนื่อง
 
นางสาวนลินรัตน์ กิตติกำพลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ราคาหุ้นของกลุ่มพลังงาน ได้มีการปรับตัวลดลงมารับรู้ปัจจัยลบไประดับหนึ่งแล้ว ทั้งจากแนวโน้มเศรษฐกิจจีนที่จะชะลอตัวทำให้มีความต้องการใช้น้ำมันลดลง และโรงกลั่นของฝั่งสหรัฐที่มีปริมาณ (ซัพพลาย) เพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงทำให้มูลค่าหุ้นที่ระดับปัจจุบันของกลุ่มพลังงานยังมีความน่าสนใจ รวมถึงค่า P/E (อัตราส่วนราคาปิดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น) ของกลุ่มพลังงานหลาย ๆ ตัว อยู่ระดับค่อนข้างต่ำ นำโดย PTT, PTTEP และ PTTGC ดังนั้น แม้ภาพรวมของกลุ่มพลังงานอาจไม่สดใสนัก แต่ยังสามารถซื้อขายเพื่อทำกำไรระยะสั้น (เทรดดิ้ง) ได้ เนื่องจากมีปัจจัยราคาน้ำมันดิบโลกที่ฟื้นตัว รวมถึงค่าการกลั่นที่ปรับขึ้นลงตามฤดูกาล
 
“ฝ่ายวิจัยเอเซีย พลัส พร้อมที่จะปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุนในกลุ่มพลังงาน (รวมถึงปิโตรเคมี) หากมีสัญญาณชัดเจนว่าเศรษฐกิจโดยรวมโดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่เป็นผู้บริโภคหลักจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากกลุ่มพลังงานมีความเกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และมีความเชื่อมโยงกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกด้วย ส่วนราคาหุ้นหลาย ๆ ตัวในกลุ่มนี้ปัจจุบันเริ่มมี downside risk (เสี่ยงปรับตัวลง) ในกรอบจำกัดแล้ว ราคาหุ้นบางตัวมีการปรับลดลงมาทำราคานิวโลว์แล้วเช่นกัน ดังนั้นตอนนี้สามารถหาจังหวะลงทุนเพื่อรอภาพรวมเศรษฐกิจโลกกลับมาชัดเจนได้” นางสาวนลินรัตน์กล่าว