ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (16 ก.ย.) ที่ระดับ 30.51 บาทต่อดอลล่าร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.45 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกรอบค่าเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 30.45-30.55 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนกรอบค่าเงินบาทรายสัปดาห์อยู่ที่ 30.25-30.75 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับช่วงสัปดาห์นี้ เชื่อว่าตลาดการเงินจะมีความผันผวนสูงหลังราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเร็ว แม้โดยรวมปัจจัยดังกล่าวน่าจะเป็นบวกกับสกุลเงินตลาดเกิดใหม่ (EM) มากกว่าลบ เพราะมีการประชุม FOMC ที่คาดว่าจะลดดอกเบี้ยรออยู่ แต่ก็ต้องตามดูว่าปัญหาจะลุกลามไปเป็นความเสี่ยงสงครามที่อาจส่งผลให้ตลาดปิดรับความเสี่ยง (Risk Off) และพลิกกลับไปถือดอลลาร์หรือไม่
- ทำฟันประกันสังคม ไม่ต้องสำรองจ่าย เดือน มี.ค. 67 ยอด 169 ล้านบาท
- รู้ไหม ? 31 มณฑลจีน ชอบสินค้าอะไรของไทย
- “ทางรัฐ” ซูเปอร์แอปแห่งชาติ รองรับแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท
“ในฝั่งของเงินบาท มองว่าผู้ส่งออกจะทยอยขายเงินดอลลาร์ต่อในสัปดาห์นี้ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนได้ยาก ขณะเดียวกันก็ต้องระมัดระวังแนวโน้มการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำซึ่งอาจหนุนให้เงินบาทแข็งค่าเร็วได้ด้วยเช่นกัน” ดร.จิติพลกล่าว
ดร.จิติพล กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนสัปดาห์นี้กลับมามีความไม่แน่นอนสูง เนื่องจากช่วงสุดสัปดาห์โรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอาระเบียถูกโจมตี ส่งผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดี ช่วงที่เหลือของสัปดาห์ก็ยังมีเหตุการณ์ที่ต้องตามติดอีกหลายอย่าง
เริ่มวันจันทร์ สำนักงานสถิติจีนจะรายงานยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Fixed Asset Investment) ที่คาดว่าจะขยายตัว 5.6% ยอดค้าปลีก (Retail Sales) จะโตราว 7.9% และยอดการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) จะชะลอตัวลงแตะระดับ 5.2% สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่อ่อนแอลงเรื่อยๆ
ส่วนในวันพฤหัสฯ ก็จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่ตลาดคาดว่าจะ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Balance Rate) ที่ระดับ -0.10% พร้อมทั้งคงเป้าหมายกรอบบอนด์ยีลด์อายุ 10ปี ที่ระดับ -0.2 % ถึง 0.2%
ขณะเดียวกันการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ก็คาดว่าจะมีการ “ลด” อัตราดอกเบี้ยต่ออีก 0.25% ไปที่ระดับ 1.75%-2.00% ในการประชุมครั้งนี้ นอกจากนั้น เราเชื่อว่าคณะกรรมการเฟดจะปรับมุมมองเศรษฐกิจระยะสั้น อย่าง GDP ปี 2019 ลงมาที่ระดับ 2.00% อย่างไรก็ตามเฟดอาจไม่ปรับลดเป้าหมายดอกเบี้ยระยะยาวลงจาก 2.50% เนื่องจากการลดอัตราดอกเบี้ยครั้งนี้ยังถูกมองเป็นการปรับสมดุลระยะสั้น อาจทำให้ตลาดผิดหวังเล็กน้อย