ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักวิเคราะห์ตลาดการเงินและการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (13 เม.ย.) ที่ระดับ 32.68 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 32.65 บาทต่อดอลลาร์ โดยกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ระหว่าง 32.60-32.80 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนกรอบเงินบาทสัปดาห์นี้อยู่น่าจะเคลื่อนไหวที่ 32.45-32.95 บาทต่อดอลลาร์
- มาบตาพุด แทงค์ เทอร์มินัล เปิดชื่อผู้ถือหุ้น-ผลประกอบการ
- 10 พฤษภาคม 2567 ขึ้นทางด่วนฟรี 60 ด่าน
- ทีทีบี เสนอขายหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง คุ้มครองเงินต้น 100% เปิดจอง 9-15 พ.ค. 67
ทั้งนี้ ในช่วงวันทำการก่อน หุ้นทั่วโลกอยู่ในโหมดเปิดรับความเสี่ยง (Risk On) โดยดัชนี S&P500 ของสหรัฐปรับตัวบวกขึ้น 1.4% ขณะที่ Euro Stoxx 600 ปรับตัวขึ้น 1.6% จากแรงหนุนของนโยบายการเงินและการครั้งที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ในช่วงเช้านี้ราคาน้ำมันดิบ กลับปรับตัวขึ้นได้ไม่นาน แม้กลุ่มผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ (OPEC+) สามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อร่วมกันลดกำลังการผลิตได้จริง แต่กลับมีความกังวลเรื่องการใช้น้ำมันที่จะหายไปในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนข้างหน้า กลับมากดดันให้ราคาน้ำมัน WTI ปรับตัวกลับมาอยู่ที่เดิมที่ระดับ 22.40 ดอลลาร์/บาร์เรล
สำหรับในสัปดาห์นี้ (13-17 เม.ย.) ประเด็นที่ต้องติดตาม คือทิศทางของนโยบายการเงินและการคลังที่น่าจะมีออกมาเพิ่มเติม เพื่อต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากปัญหาไวรัสระบาด ขณะเดียวกันก็จะมีการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจขององค์การการเงินระหว่างประเทศหรือ IMF ในวันอังคาร (14 เม.ย.) และตลอดสัปดาห์ก็จะมีการประกาศผลกำไรช่วงไตรมาสที่หนึ่งของกลุ่มธนาคารสหรัฐ รวมไปจนถึงบริษัทใหญ่ทั่วโลกที่จะต้องรายงานกำไรและปรับประมาณการรายได้ในปีนี้ด้วย
ในฝั่งของตลาดเงินสัปดาห์นี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบลงเพราะนักลงทุนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัวสูง เห็นได้จากเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงเพียง 0.1% เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักในช่วงวันศุกร์ โดยสกุลเงินปลอดภัยอย่างเยนญี่ปุ่น (JPY) และฟรังก์สวิส (CHF) จะเป็นสกลุเงินที่ตลาดเลือกถือช่วงนี้
ฟากเงินบาทในช่วงนี้ก็ยังคงมีปริมาณการซื้อขายที่ลดลงไปอย่างชัดเจน ทั้งจากฝั่งธุรกิจพลังงาน และผู้ผลิตรถยนต์ที่อาจต้องรอให้ทุกอย่างกลับมาเปิดเป็นปกติก่อน และแม้แรงขายในหุ้นและตราสารหนี้ (บอนด์) จะเริ่มลดลง แต่กลับยังไม่มีทีท่าที่จะมีเงินลงทุนกลับมาเป็นปรกติเหมือนช่วงที่มีการทำ QE ครั้งก่อนๆ เนื่องจากนักลงทุนส่วนมาก ดูจะเลือกลงทุนในฝั่ง Developed Asia ก่อน ขณะที่เงินลงทุนใน Emerging Markets ก็ตกไปอยู่ที่ฝั่งละตินอเมริกาและยุโรปแทนที่ฝั่งเอเชีย
“ในช่วงสัปดาห์นี้ ถ้าไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาจึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเงินบาทแกว่งตัวในกรอบแคบ” ดร.จิติพลกล่าว