วงการ “พิโกไฟแนนซ์” แตกตื่น !ทุนจีนไล่เทกโอเวอร์กิจการ “สวมไลเซนส์” ใช้ “นอมินี” ถือหุ้น ตั้งข้อสังเกตหวั่นเข้ามา “ฟอกเงิน” ปลัดคลังสั่งเร่งตรวจสอบลั่นหากพบเข้าข่ายฟอกเงินส่งเรื่อง ปปง.จัดการทันที ฟาก สศค. ยอมรับกำลังตรวจสอบอยู่ 2 บริษัท มองแง่ดีหากทุนจีนเข้ามาทำธุรกิจจริงหนุนแก้หนี้นอกระบบ
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
แหล่งข่าวจากวงการผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อพิโกไฟแนนซ์ เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ขณะนี้มีกลุ่มทุนต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน มีการเข้ามาเทกโอเวอร์กิจการธุรกิจพิโกไฟแนนซ์ในจังหวัดต่าง ๆ กว่า 10 แห่ง ในลักษณะการใช้นอมินีซึ่งคนในวงการพิโกไฟแนนซ์ตั้งข้อสังเกตว่า อาจจะเป็นการเข้ามาฟอกเงิน จึงมีการร้องเรียนไปให้ทางกระทรวงการคลังตรวจสอบแล้ว
“เนื่องจากกระทรวงการคลังกำหนดเงื่อนไขนิติบุคคลที่ขอใบอนุญาตธุรกิจสินเชื่อรายย่อยระดับจังหวัด หรือพิโกไฟแนนซ์ ให้มีชาวต่างชาติถือหุ้นได้ไม่เกิน 49% โดยชาวต่างชาติสามารถเป็นกรรมการได้ แต่ต้องไม่ใช่กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม ดังนั้น หุ้นที่มีการเข้ามาถือเกินกว่า 49% จึงให้คนไทยถือแทนในลักษณะนอมินี และเท่าที่ทราบราคาที่ซื้อเหมือนกับการจ่ายค่าซื้อใบอนุญาต บวกรวมกับวงเงินปล่อยกู้ให้ลูกหนี้ เช่น เงินที่ปล่อยกู้ของบริษัท 5 แสนบาท แต่ขายไลเซนส์ในราคา 2 ล้านบาท เป็นต้น” แหล่งข่าวกล่าว
นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลังได้รับการร้องเรียนเรื่องดังกล่าวแล้ว และได้มีการมอบหมายให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เร่งเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว ทั้งในส่วนของผู้ถือหุ้นว่ามีการใช้นอมินีหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมากระทรวงการคลังจะมีการตรวจสอบกรณีพิโกไฟแนนซ์มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้น โดยจะต้องรายงานความคืบหน้าทุก ๆ เดือน รวมถึงต้องรายงานงบการเงินในช่วงสิ้นปีด้วย
“ที่ผ่านมา เราก็มีการประสานงานกันร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ซึ่งกระทรวงการคลังจะเข้าไปดูเรื่องเงินทุนของบริษัทที่เข้าไปตรวจสอบ ว่าไหลเข้าไปส่วนใดบ้าง เพื่อป้องกันเรื่องใช้นอมินีแฝงเข้ามาเพื่อฟอกเงิน ซึ่งก็เข้าใจว่า บริษัทต้องมีการตรวจสอบนักลงทุนในเรื่องที่มาของทุน ก่อนที่จะให้เข้ามาถือหุ้นของบริษัทด้วย” นายกฤษฎากล่าว
ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กรณีดังกล่าวไม่ได้สร้างผลกระทบที่เป็นปัญหาต่อระบบมากนัก เนื่องจากพิโกไฟแนนซ์ไม่ได้รับฝากเงินจากประชาชน แต่ใช้เงินทุนของบริษัทเองมาปล่อยกู้ เพื่อให้ผู้ที่เป็นหนี้นอกระบบที่ถูกคิดอัตราดอกเบี้ยสูง สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 36% ต่อปี
“ต้องดูด้วยว่า กระทรวงการคลังไม่ได้กำกับพิโกไฟแนนซ์เหมือนกับการกำกับสถาบันการเงิน เพราะบริษัทเหล่านี้เขาใช้เงินทุนของตัวเองปล่อยสินเชื่อ ดังนั้น หากบริษัทขาดทุนก็จะรับผลขาดทุนเอง อย่างไรก็ดี กระทรวงการคลังก็มีความกังวลเรื่องการใช้นอมินีเข้ามาเพื่อฟอกเงินเช่นกัน จึงได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากพบการกระทำผิด ก็จะส่งเรื่องไปให้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เป็นผู้ตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป” ปลัดกระทรวงการคลังกล่าว
ขณะที่แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทาง สศค.กำลังตรวจสอบพิโกไฟแนนซ์ประมาณ 2 บริษัท ที่มีกระแสข่าวว่ามีทุนจีนเข้ามาครอบงำกิจการในลักษณะของการเข้ามา “สวมไลเซนส์” ซึ่งหากมีการใช้นอมินีเป็นคนไทย ก็ต้องมีการแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่อกระทรวงการคลังด้วย
อย่างไรก็ดี หากเป็นการเข้ามาเพื่อทำธุรกิจปล่อยกู้พิโกไฟแนนซ์จริง ๆ ก็ถือว่าไม่ได้ผิดวัตถุประสงค์ของกระทรวงการคลังที่ต้องการแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ เพราะบางทีผู้ประกอบธุรกิจคนไทยอาจจะมีเงินทุนไม่เพียงพอ
“ส่วนประเด็นเรื่องการฟอกเงินนั้น ก็คงต้องตรวจสอบ แต่จริง ๆ แล้วธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ต้องรายงานธุรกรรมต่อ ปปง.ตามกฎหมายอยู่แล้ว โดยการนำเงินเข้ามาในประเทศจะต้องผ่านระบบธนาคาร ซึ่งจะมีขั้นตอนของการยืนยันตัวตน หรือ KYC ตามกฎหมายฟอกเงินอยู่แล้ว ดังนั้น หากมีการฟอกเงินก็จะมาติดที่ขั้นตอนนี้ อย่างไรก็ดี หากเข้ามาในกรณีนอมินีก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ ซึ่งกระทรวงการคลังจะเร่งเข้าไปพิจารณาในรายละเอียดเพิ่มเติม” แหล่งข่าวกล่าว