3 เซียนหุ้นจัดพอร์ตรับปีจอ รัดเข็มขัด…รับความเสี่ยง

ผ่านไปพริบตาเดียวก็ครบรอบ 1 ปีอีกครั้ง นักลงทุนหลายคนเริ่มกลับมาประมวลผลตอบแทนของพอร์ตตัวเองว่าในปี 2560 ที่ผ่านมากำไรหรือขาดทุนด้วยเหตุผลอะไร ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อนำบทเรียนมาตีแตกให้ได้ว่าปี 2561 จะลงทุนอย่างไร จึงจะทวีความมั่งคั่งของตัวเองให้ได้มากขึ้น

“ประชาชาติธุรกิจ” ได้พูดคุยกับกูรูด้านการลงทุน เพื่อเปิดมุมมองในเรื่องนี้ โดย “ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor : VI) ผู้สันทัดด้านการลงทุนหุ้นน้ำดีที่หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี เล่าว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยปรับตัวเป็นบวกอย่างค่อนข้างเซอร์ไพรส์ถึงกว่า 13% ต่อเนื่องจากปี 2559 ที่ดัชนีทะยานขึ้นราว 20% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวดีขึ้นแล้วถึง 2 ปีซ้อน ดังนั้นจึงเป็นที่น่าติดตามว่า ในปี 2561 จะยังคงสร้างผลตอบแทนเป็นบวกได้อย่างต่อเนื่องหรือไม่

“ปี 2560 ที่ผ่านมา ผลตอบแทนของพอร์ตผมยังคงเหนือกว่าตลาดหุ้นโดยรวม แต่ปี 2561 ถ้าพอร์ตผมทำกำไรได้ 10% ก็น่าดีใจแล้ว เพราะถ้าดูตามสถิติย้อนหลัง จะพบว่ามีแค่ช่วงปี 2544-2546 เท่านั้น ที่ตลาดหุ้นบวกต่อกันได้ถึง 3 ปี และนับจากนั้นก็ไม่เคยเกิดขึ้นได้อีกเลย ดังนั้นจากข้อมูลที่มีเลยทำให้ผมยังกังวลอยู่ว่าตลาดหุ้นจะไปต่อได้อีกหรือไม่” ดร.นิเวศน์กล่าว

เขาอธิบายต่อว่า ในปี 2561 แม้ประเทศไทยจะมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จนจีดีพีน่าจะขยายตัวได้ถึง 4% เพราะได้แรงหนุนจากการส่งออก ท่องเที่ยว รวมถึงยังมีแรงขับเคลื่อนจากการบริโภค และการลงทุนของรัฐบาลที่ยังลุ้นได้ อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากดอกเบี้ยนโยบายในประเทศที่ยังไม่ใช่ขาขึ้น และปัจจัยหนุนด้านฐานะทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่ช่วยพยุงดัชนีไว้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ายังมีคลื่นใต้น้ำที่เป็นปัจจัยลบคอยสร้างความกดดันในการลงทุนได้อยู่

“ปีหน้านักลงทุนต้องเตรียมตัวรับแรงขายแบบตื่นตระหนก (panic sell) ไว้บ้าง เพราะตลาดหุ้นไม่ได้ลงแรง ๆ มาเป็น 10 ปีแล้ว และรอบนี้แม้ดอกเบี้ยในประเทศจะต่ำ แต่ถ้าสหรัฐเริ่มทยอยลดการใช้มาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ (QE) ดัชนีตลาดหุ้นไทยก็อาจจะปรับตัวลดลงแรง ๆ ได้ ดังนั้นเราจึงต้องเตรียมพอร์ตให้พร้อม” ดร.นิเวศน์กล่าว

ทั้งนี้หากจะเอาตัวรอดให้ได้ในภาวะที่ตลาดหุ้นมีโอกาสที่จะปรับตัวลงแรง ในมุมมองของ “ดร.นิเวศน์” เห็นว่าไม่ควรใช้กลยุทธ์ “ถือเงินสด” แต่ควรจะหันมาลงทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคามีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงต่ำกว่า หากตลาดหุ้นโดยรวมปรับตัวลง (defensive stock) อีกทั้งควรจะเป็น บจ.ที่ราคาหุ้นยังไม่แพง เช่น ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น (พีอี) ต่ำกว่า 10 เท่า และสามารถปันผลได้มากกว่า 3% โดยขณะนี้พบ บจ.ที่มีลักษณะดังกล่าวได้ในกลุ่มพลังงาน ธนาคาร เป็นต้น

ขณะที่เซียนหุ้นคนรุ่นใหม่อย่าง “ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” หรือ “คุณแพท” แม้จะฟันกำไรจากการลงทุนปี 2560 ไปมากกว่า 10% แต่ก็ยอมรับว่าในปี 2561 ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสร้างกำไรได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม เขาได้วางแผนไว้แล้วว่าจะใช้กลยุทธ์เดียวกับที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับพอร์ตมาแล้ว ก็คือ เข้าทยอยสะสมหุ้นน้ำดีที่ราคาร่วงลงมาจากจุดสูงสุดเดิม 70% และถือระยะยาวตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป

“ตลาดหุ้นตอนนี้เริ่มมีบับเบิล (ฟองสบู่) แล้ว ดังนั้นผมจะไม่ไปซื้อพวกหุ้นราคาแพงเด็ดขาด แต่จะใช้วิธีรอสะสมหุ้นดี ๆ ที่ราคาร่วงลงจากจุดสูงสุดเดิมลงมาราว 70% แล้วถือให้ยาว ซึ่งรอบปี 2560 กลยุทธ์นี้ก็ทำให้พอร์ตของผมกำไรค่อนข้างมาก ถือเป็นรางวัลแห่งการรอคอยที่เยอะมาก” คุณแพทเล่า

ด้าน “วัชระ แก้วสว่าง” หรือ “เสี่ยป๋อง” เซียนหุ้นที่เน้นจับสัญญาณทางเทคนิคเจ้าของพอร์ตพันล้าน ก็ใช้กลยุทธ์คัดเลือกหุ้นใหญ่ที่มีพีอีต่ำ ซึ่งพบว่ายังคงมีอยู่มากในหุ้นกลุ่มพลังงานและธนาคารพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม การลงทุนหุ้นเหล่านี้ก็จะต้องอาศัยทำกำไรเป็นรอบ ๆ เช่นกัน เพื่อลดความเสี่ยงหากเกิดปัจจัยไม่คาดฝันทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“ปี 2561 ผมยังคงเกาะติดหุ้นใหญ่ที่มีพีอีต่ำ แต่ก็จะถือทำกำไรเป็นรอบ ๆ เมื่อมูลค่าแพงขึ้นก็ต้องขายออก แต่สำหรับธุรกิจที่มองหาจริง ๆ คือ พวก บจ.ขนาดใหญ่ที่มีครีเอทีฟ และนวัตกรรมในการทำธุรกิจมากขึ้น เช่น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ธุรกิจด้านเทคโนโลยีชีวภาพ ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ และธุรกิจพลังงานทดแทนมากกว่า เพราะพวกนี้เป็นธุรกิจที่จะเกาะกระแสกับโลกอนาคตได้ดี” เสี่ยป๋องอธิบาย ปี 2561 คงไม่ใช่ปีที่ลงทุนได้อย่างง่าย ๆ อีกเช่นเคย เพราะแม้แต่นักลงทุนรายใหญ่ก็ยังต้องระวังความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นนักลงทุนรายย่อยก็ยิ่งจำเป็นต้องวางแผนรับความเสี่ยง และรัดเข็มขัดรับตลาดเหวี่ยงช่วงตลาดขาลงให้ได้ด้วย