ยกฟ้อง 5 กรรมการ กสทช. ไม่ผิด ม.157 รับทราบให้ควบรวม ทรู ดีแทค

ทรู ดีแทค ควบความกิจการ

ศาลอาญาฯ ยกฟ้อง 5 กรรมการ กสทช. กรณีมีมติรับทราบให้ควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ชี้ปฏิบัติถูกต้องตามขั้นตอนกฎหมาย

วัยที่ 1 มีนาคม 2566 มติชน รายงานว่า ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษา (ชั้นตรวจฟ้อง) คดีหมายเลขดำที่ อท 199/2565 ระหว่าง น.ส.ธนิกานต์ บำรุงศรี ยื่นฟ้อง

ศาสตราจารย์คลินิก นพ.สรณ บุญใบชัยพฤกษ์ ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.), นายต่อพงศ์ เสลานนท์,พลอากาศโท ดร.ธนพันธุ์ หร่ายเจริญ, ศาสตราจารย์ พิรงรอง รามสูต, และรองศาสตราจารย์ ดร.ศุภัช ศุภชลาศัย ทั้งหมดเป็นกรรมการ กสทช. จำเลยที่ 1-5 ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องสรุปว่า โจทก์เป็นผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) AIS เป็นผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองสิทธิจากการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช.

วันที่ 20 ต.ค. 2565 จำเลยทั้งห้าร่วมกัน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ในคราวประชุมนัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 วาระ การพิจารณารายงานการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทค ผลการประชุมปรากฏว่า จำเลย ทั้งห้ามีมติเสียงข้างมาก 3 ต่อ 2 เสียง ลงมติรับทราบการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค

โดยจำเลยทั้งห้าจัดให้มีการประชุมและลงมติ โดยไม่ได้รับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและ ประชาชนทั่วไป ไม่นำรายงานฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบ และรับฟัง ความคิดเห็นของบริษัทที่ปรึกษาอิสระ (บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันซ่า จำกัด) เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืน ต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

จําเลยที่ 2 ไม่มีความเป็นกลางและ มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับบริษัททรู จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ลงมติรับทราบเรื่องการรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และ ข้อบังคับที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นการมิชอบ

การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะประธาน กสทช. เป็นประธานในการ ประชุมคณะกรรมการ กสทช. ใช้สิทธิลงมติ 2 ครั้ง ในการประชุมวาระการพิจารณา เรื่อง การรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัทรูกับบริษัทดีแทค เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับ ที่เกี่ยวข้อง การที่จำเลยที่ 3ใช้สิทธิลงมติงดออกเสียงในการประชุมในวาระดังกล่าวเป็นการกระทำ ที่ฝ่าฝืนตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบ กฎ และข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง

เป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่ชอบ การออกมาตรการเฉพาะของจำเลยทั้งห้าที่กำหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรูกับบริษัทดีแทคขัดแย้งต่อเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขอให้ลงโทษจําเลยทั้งห้าตามประมวลอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83

คำวินิจฉัยศาลอาญาฯ

ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยดังนี้

1. พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 มาตรา 28 บัญญัติให้ กสทช. จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียและประชาชนทั่วไปก่อนออกระเบียบ ประกาศ หรือ คำสั่งเกี่ยวกับการกำกับดูแลการประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม ที่มีผลเป็นการใช้บังคับทั่วไป

แต่สำหรับกรณีการพิจารณารายงานการรวมธุรกิจของบริษัททรูและ บริษัทดีแทคเป็นการพิจารณาเพื่อมีมติหรือมีคำสั่งเกี่ยวข้องหรือผูกพันเกี่ยวกับผู้รับใบอนุญาตเฉพาะราย คือ บริษัททรูและบริษัทดีแทคเท่านั้น ไม่ได้มีผลบังคับเป็นการทั่วไป

จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีหน้าที่ต้องจัดให้ มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั่วไปและผู้มีส่วนได้เสียหลักก่อน ส่วนกรณีไม่นำรายงาน ฉบับสมบูรณ์ของที่ปรึกษาต่างประเทศมาพิจารณาประกอบและการรับฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาอิสระ จำเลยทั้งห้าปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมาย ประกาศ ระเบียบที่เกี่ยวข้องทุกประการแล้ว

2. จําเลยที่ 2 ไม่ได้มีส่วนได้เสียกับเรื่องที่พิจารณา จึงไม่มีเหตุต้องห้ามมิให้พิจารณา เรื่องทางปกครอง ไม่ปรากฏว่ากลุ่มบริษัททรูมีพฤติการณ์แทรกแซงการทำงานของจำเลยที่ 2จนขาดอิสระในการปฏิบัติหน้าที่กรรมการ กสทช. จำเลยที่ 2จึงสามารถเข้าร่วมประชุม กสทช. เพื่อพิจารณาและมีมติเกี่ยวกับการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคได้

3.การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่ใช่เป็นการเข้าซื้อหุ้นหรือถือหุ้น เกินกว่าร้อยละ 50ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น หรือเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งหมด หรือบางส่วนเพื่อควบคุมนโยบายหรือการบริหารธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตรายอื่น แต่เป็นการรวมธุรกิจ ที่บริษัทจํากัด (มหาชน) 2 บริษัทขึ้นไปควบรวมกัน แล้วนำไปจดทะเบียนเป็น บริษัทจํากัด (มหาชน) ขึ้นใหม่

โดยบริษัททรูและบริษัทดีแทคสิ้นสภาพจากการเป็นนิติบุคคลเดิม พรบ.องค์กรจัดสรรคลื่น ความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27(11) และ พรบ.ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21 และมาตรา 22 ไม่ได้บัญญัติให้อำนาจ กสทช. ในการพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาต รวมธุรกิจของผู้รับอนุญาตแต่อย่างใด

เพียงแต่ให้อำนาจ กสทช. เฉพาะในเรื่องการกำหนดมาตรการ การป้องกันการกระทำอันเป็นการผูกขาดเท่านั้น และที่ผ่านมา กสทช. เคยพิจารณารายงานการรวม ธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมทั้งหมด 9 กรณี และ 9 กรณีดังกล่าว ได้มีการลงมติ เพียงรับทราบรายงานการรวมธุรกิจของผู้รับใบอนุญาตทั้งสิ้น ไม่มีกรณีใดที่ กสทช. มีมติอนุญาตหรือไม่อนุญาตการรวมธุรกิจแต่อย่างใด

จำเลยที่ 1 เเละ 2 ลงมติรับทราบรายงานการรวมธุรกิจ ระหว่างบริษัททรูและบริษัทดีแทคจึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายทุกประการ

4. การประชุม กสทช. นัดพิเศษ ครั้งที่ 5/2565 วาระการพิจารณารายงานการรวม ธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค กรณีจึงต้องบังคับตามข้อ 41วรรคสาม ของระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ พ.ศ. 2555

โดยจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นประธานของคณะกรรมการ กสทช. ออกเสียงเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเสียงเป็นเสียงชี้ขาด ทำให้การวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการ กสทช มีเสียงของผู้เห็นด้วยว่า การรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทคไม่เป็นการถือครองธุรกิจในบริการ ประเภทเดียวกัน การลงมติของจําเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทําที่ถูกต้องโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

5. พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 23 วรรคหนึ่ง กําหนดให้การประชุม การลงมติและการปฏิบัติงานของ กสทช. ให้เป็นไปตามระเบียบที่ กสทช. กำหนด ระเบียบ กสทช. ว่าด้วยข้อบังคับการประชุมฯ มิได้มีข้อกำหนดให้กรรมการ กสทช. ต้องออกเสียง ทุกครั้งทุกคราวที่มีการประชุม และมิได้มีข้อกำหนดเกี่ยวกับการงดออกเสียงไว้

การที่จำเลยที่ 3 งดออกเสียงในการประชุมพิจารณาการรวมธุรกิจของบริษัททรูและบริษัทดีแทค โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอื่น จึงไม่มีเหตุแห่งการที่จะพิจารณาว่าจำเลยที่ 3กระทำการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

6. มาตรการเฉพาะที่จําเลยทั้งห้ากําหนดเกี่ยวกับเรื่องการรวมธุรกิจระหว่างบริษัททรู กับบริษัทดีแทคได้พิจารณาข้อกังวลในหลายประเด็น ได้แก่ อัตราค่าบริการและสัญญาการให้บริการ การเข้าสู่ตลาดและประสิทธิภาพการแข่งขันและการสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย คุณภาพ การให้บริการ การถือครองคลื่นความถี่

การใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกัน และเศรษฐกิจของประเทศ นวัตกรรมและความเหลื่อมล้ำทางดิจิตอลเป็นการกระทำที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และบทบัญญัติ ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 (มาตรา 77) วรรคสาม ทั้งยังเป็นการปฏิบัติ ตามพรบ.องค์กรจัดสรรขึ้นความถี่ฯ พ.ศ. 2553 มาตรา 27(11) และ พรบ. ประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 21,22

ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ปรากฏในสำนวนฟังไม่ได้ว่า จำเลยทั้งห้ากระทำผิด ตามฟ้อง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ประกอบกับพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. 2559 มาตรา 6 วรรคหนึ่ง โดยไม่ต้องดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนมูลฟ้องต่อไป พิพากษายกฟ้อง

สำหรับคดีดังกล่าว โจทก์ได้ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2565 ศาลได้ดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนแสวงหาข้อเท็จจริง 3 นัด และให้คู่ความชี้แจง รวมระยะตั้งแต่วันฟ้องถึงวันอ่านคำสั่งหรือคำพิพากษาเวลา 3 เดือน 17 วัน