แชร์ลูกโซ่ระบาดหนัก ร้องปปง.สอบเส้นทางเงิน-อายัดทรัพย์เพจดัง หลังโพสต์ชวนลงทุน

แชร์ลูกโซ่ ระบาดหนัก ผู้เสียหายตบเท้าร้องปปง.ตรวจสอบสอบเส้นทางเงิน-อายัดทรัพย์เพจลงทุนไม้กฤษณาหลังโพสต์ชวนคนลงทุนแชร์ลูกโซ่ หวั่นประชาชนตกเป็นเหยื่อ ด้าน ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย เสนอ 3 ข้อปราบปรามแชร์ลูกโซ่ให้หมดจากสังคมไทย วอนรัฐบาลใส่ปัญหานี้ในยุทธศาสตร์ชาติ ชี้แชร์ลูกโซ่ เป็นภัยต่อสังคม เศรษฐกิจ ความมั่นคงของไทย

วันที่ 13 ก.ค. 2560 นาย สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้นำผู้เสียหายจาก การลงทุนในไม้กฤษณา ( สาริกาลิ้นทอง ) มาร้องต่อสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน( ปปง.)เพื่อให้มีการตรวจสอบเส้นทางการเงินและอายัดทรัพย์กับเจ้าของเพจ ที่ชักชวนให้ลงทุนในสาริกาลิ้นทอง ที่มีการหลวกหลวงประชาชน โดยชักชวนให้มีการลงทุนไม้กฤษณาแบบแชร์ลูกโซ่ คือมีการหลอกให้ลงทุนโดยมีค่าความเสียหายหลายล้านบาท

โดยทางสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย ได้พบภาพว่า เจ้าของเพจดังกล่าวได้ เอาเงินสดจำนวนนับหลายสิบล้านบาท มาถ่ายโปรโมทกับเจ้าของเพจ เพื่อเป็นการหลอกลวงและชักชวนให้คนเข้ามาร่วมลงทุนมากขึ้น จึงเกรงว่าจะมีประชาชนตกเป็นเหยื่อ ประกอบกังวลว่า มิจฉาชีพจะโยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปก่อน จะทำให้ผู้เสียหายไม่ได้ทรัพย์สินคืน จึงเดินทางมาเขียนคำร้องทุกข์ต่อท่านเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อให้ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และ ใช้อำนาจ ตามกฏหมายอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องไว้ก่อน

นายสามารถ กล่าวว่า ผู้เสียหายเหล่านี้ มาจากต่างจังหวัด อาทิเช่น ภูเก็ต อุดรธานี เป็นต้น ฯลฯ ที่ตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ที่มีการชักชวนให้ลงทุน ในสาริกาลิ้นทอง โดยมีการบังคับให้รักษายอดสูงถึงเดือนละ 50,000 บาท แล้วจะได้ค่าแนะนำ 30% โดยการมาร้องทุกข์กับ ปปง. ครั้งนี้ เนื่องจากผู้เสียหายได้แจ้งความดำเนินคดีอาญากับเจ้าของเพจ ที่ชักชวนให้ลงทุนในสาริกาลิ้นทองแล้ว ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นความผิดมูลฐานฟอกเงิน จึงเป็นอำนาจและหน้าที่ของ ปปง. ที่ต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542

โดยหนึ่งในตัวแทนผู้เสียหายที่ถูกหลอกลวงในให้ลงทุนในสาริกาลิ้นทอง ชื่อน.ส.ประวีณ์นุช จันทร์ประเสริฐ อายุ 33 ปี ผู้เสียหายจาก จ.ภูเก็ต เปิดเผยว่า ตนรู้จักกับเพจเฟซบุ๊ก “Pumpuy Apple Shop – สาริกาลิ้นทอง” เมื่อปลายปี 58 ซึ่งประกาศขายวัตถุมงคลประเภทต่างๆ อ้างว่าได้นำเข้าสาริกาจากพม่า โดยมีพระเป็นผู้แกะสลักจากไม้กฤษณาขาวและไม้อำพัน รวมทั้ง นำเข้าพิฆเนศจากอินเดียทุกรุ่น ตนจึงติดต่อซื้อ สาริกา รุ่น รวยเปรี้ยง ราคา 3,900 บาท เพื่อบูชาเสริมสิริมงคลและทำมาค้าขาย จากนั้น ประมาณต้นเดือน พ.ค.59 เพจเฟซบุ๊กดังกล่าวได้ประกาศเปิดรับตัวแทนแต่ละจังหวัดจำหน่ายสินค้าวัตถุมงคลทางออนไลน์ โดยตนสนใจและสมัครค่าสมาชิกครั้งแรก 35,918 บาท

“ต่อมาช่วงปลายเดือน พ.ค.59 เจ้าของเพจเฟซบุ๊กได้ติดต่อมาเพื่อให้สมัครเป็นตัวแทนระดับ วีไอพี (VIP) แต่ต้องเสียค่าสมัครเพิ่มอีก 200,000 บาท ซึ่งจะได้วัตถุมงคลเพิ่มเติมคือ พระพิฆเนศ และ กำไรข้อมือ โดยก็ตอบรับเพราะยังมีลูกค้าเป็นเพื่อนและบุคคลรู้จักในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ช่วยอุดหนุนสินค้าดังกล่าวทำให้สามารถพอประคับประคองตัวไปได้ จนกระทั่ง เดือน ต.ค.59 เจ้าของเฟซบุ๊กยังมีโปรชั่นให้สามารถเปิดช็อปหน้าร้านค้าขายสินค้าได้ แต่ต้องจ่ายเงินอีก 1,000,000 บาท และจัดส่งวัตถุมงคลมาให้ครบทุกรุ่น” น.ส.ประวีณ์นุช กล่าว

น.ส.ประวีณ์นุช เผยต่อว่า จากนั้น เมื่อต้นปี 60 เจ้าของเพจเฟซบุ๊กได้บอกตนว่าทำผิดกฎระเบียบเพราะไม่สั่งของตามเงื่อนไขเดือนละ 50,000 บาทจึงบล็อกออกจากกลุ่มและไม่รับสินค้าคืนทำให้ตนเสียหายกว่า 8,600,000 บาท นอกจากนี้ ยังมีคนรู้จักเตือนแล้วว่าวัตถุมงคลที่ตนจำหน่ายนั้นคล้ายกับสินค้าแถวย่านท่าพระจันทร์ พาหุรัด ฯลฯ จึงตัดสินใจเดินทางมาดูด้วยตนเองพบว่าเหมือนกันมากจึงรู้ว่าถูกหลอกขาย ก่อนรวมตัวผู้เสียหายมาขอความช่วยเหลือและร้องทุกข์กล่าวโทษกับหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง

ทางด้าน ผู้เสียหายอีกหลายรายได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า โดยมีการบังคับให้ลงทุนเดือนละ 50,000 บาท แล้วจะได้ค่าแนะนำ 30% ถ้าไม่ลงทุนสั่งของ ก็จะถูกตัดรหัส ออกไปจึงทำให้ผู้เสียหายต้องยอมไปกู้หนี้ยืมสินมาลงทุน ผู้เสียหายบางคนต้องเอารถยนต์ที่ตัวเองมีไปเข้าไฟแนนซ์ก็มี

โดยเหตุที่เชื่อในตอนแรก เพราะมิจฉาชีพได้นำภาพ ที่เอาเครื่องรางไปปลุกเสกที่พม่ามาโชว์ จึงหลงเชื่อว่า ไม้กฤษณาสาริกาลิ้นทอง มีพุทธคุณจริง แต่หลังจากลงทุนมาจะครบ 1 ปี เริ่มหาข้อมูลเพิ่มเติม จนได้บินไปถึงวัดที่พม่า จนรู้ตัวแล้วว่าถูกร้อง ผู้เสียหายที่มาร้องทุกข์กล่าว

นาย สามารถ เจนชัยจิตรวนิช ประธานสมาพันธ์ต่อต้านแชร์ลูกโซ่แห่งประเทศไทย กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลมีมาตรการเชิงรุกในการปราบปรามแชร์ลูกโซ่ เพราะอาชญากรรมดังกล่าว ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับคนไทยมาตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบัน ที่ประเทศชาติต้องเสียหายนับแสนล้านบาท และทำลายครั้งเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงประเทศ

ดังนั้น จึงขอเสนอให้รัฐบาลมีการแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้ 1. ให้มีการแก้ไขกฎหมาย เพิ่มโทษผู้กระทำความผิดในฐานฉ้อโกงประชาชน ที่แต่เดิมมีอัตราโทษเพียงแค่ 3-5 ปีเป็น 7-14 ปี เพื่อทำให้มิจฉาชีพติดคุกอย่างต่ำ50 ปี

“เหตุที่ต้องเสนอแบบนี้ เพราะเราเห็นตัวอย่างคดีแชร์ลูกโซ่ที่แม้จะมีโทษเป็นหมื่นปีแสนปี แต่ติดจริงไม่กี่ปี อย่างเช่น คดียูฟันศาลพิพากษาจำคุกจำเลยคดีนี้ 22 คน ตั้งแต่ 12,255-12,267 ปี แต่มิจฉาชีพติดจริงแค่ 20 ปี เพราะมีกฎหมายอาญามาตรา 91 (2) ระบุว่าถ้าอัตราโทษไม่ถึง 10 ปี ลงโทษได้ไม่เกิน 20 ปีเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้เสียหายที่บางรายถึงขั้นฆ่าตัวตาย ควรมีการคืนความยุติธรรมให้กับผู้เสียหายเหล่านี้ ด้วยการลงโทษผู้กระทำผิดสถานหนัก เพื่อทำให้มิจฉาชีพเกรงกลัวกฎหมายและไม่กล้าทำความผิดแบบนี้อีก”

2. ภาครัฐควรมีหน่วยงานลักษณะ “One Stop Service บริการแบบเบ็ดเสร็จรับเรื่องร้องเรียนจากพี่น้องประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อในธุรกิจแชร์ลูกโซ่หรือฉ้อโกงโดยเฉพาะ เนื่องจากปัจจุบันประชาชนไม่ทราบที่แจ้งความอย่างชัดเจน

“ปัญหาที่พบคือ เมื่อเกิดฉ้อโกงขึ้น แต่ประชาชนไม่รู้จะไปแจ้งที่ไหน สถานีตำรวจ กองปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ประชาชนไม่เข้าใจ และบางครั้งหน่วยงานที่ไปแจ้งก็ไม่รับแจ้ง เพราะฉะนั้น ต้องมีหน่วยงานรับเรื่องร้องเรียนโดยเฉพาะ มีเจ้าภาพที่ชัดเจน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเป็นไปอย่างรวดเร็ว เพราะมีประชาชนตกเป็นเหยื่อแชร์ลูกโซ่ทุกวัน”

3. รัฐบาลควรมีปฏิบัติการเชิงรุก มีกระบวนการเยียวยาผู้เสียหายให้รวดเร็วขึ้น รวมถึงการสร้างการรับรู้ แสวงหาตรวจสอบและจับกุมผู้กระทำความผิดที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือฉ้อโกงประชาชน ไม่รอให้เกิดความเสียหายจำนวนมหาศาลขึ้นก่อน

“อยากให้รัฐบาลบรรจุเรื่องนี้ให้อยู่ในยุทธศาสตร์ชาติ เพราะแชร์ลูกโซ่เป็นปัญเป็นอาชญากรเลือดเย็น ฆ่าคนทั้งเป็นได้ อย่าหลงเชื่อเขาเด็ดขาด แม้เป็นข้อมูลจากคนใกล้ตัว หากไม่ชอบมาพากลหรือมีผลประโยชน์น่าสงสัย ขอให้ตั้งสติและตรวจสอบก่อนอย่างรอบคอบ ที่สำคัญถึงเวลาแล้วที่คนไทยทุกคนต้องเข้ามาร่วมมือกันเพื่อปราบปรามแชร์ลูกโซ่ เพื่อป้องกันไม่ให้คนไทยตกเป็นเหยื่อและกลายเป็นปัญหาของสังคม เพราะนั่น คือทุกข์ของคนไทยทุกคน” นายสามารถ กล่าว