น่าห่วง! สถิติเด็กหายยังรุนเเรง เผยปัจจัยหลัก “ครอบครัวมีปัญหา” พร้อมเปิดคำแนะนำเที่ยววันเด็ก

มูลนิธิกระจกเงาเปิด สถิติเด็กหายออกจากบ้านยังน่าห่วงชี้ ครอบครัวที่มีปัญหาความรุนแรง เป็นปัจจัยเด็กสมัครใจหนีออกจากบ้าน นิติเวช เผย เก็บดีเอ็นเอเด็กกลุ่มเสี่ยงนับพันราย อาจเป็นเด็กหายที่พ่อแม่ตามหา เปิดตัวภาพสเกตซ์ จำลองใบหน้าเด็กที่หายออกจากบ้านไปนานรายที่ 7 พร้อมคำแนะนำก่อนผู้ปกครองพาบุตรหลานเที่ยวงานวันเด็ก

เมื่อวันที่ 11 มกราคม ที่สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ มูลนิธิกระจกเงา แถลงสถิติเด็กหายปี 2560 ปัญหาเด็กหนีออกจากบ้าน ยังคงรุนแรง เสี่ยงก่อปัญหาด้านอื่นๆ ด้านสถาบันนิติเวชวิทยา ระบุ สถานสงเคราะห์เด็ก ควรแก้ไขกฏระเบียบตรวจดีเอ็นเอเพื่อหาครอบครัวเด็กและตำรวจกองทะเบียนประวัติอาชญากรเปิดภาพจำลองเด็กรายที่ 7หายออกจากบ้านนาน เกือบ 4 ปี ปัจจุบันหน้าตาอาจเปลี่ยนไป

นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เผยสถิติรับแจ้งเด็กหาย ปี 2560 ทั้งสิ้น 402 ราย สาเหตุหลักกว่า 84% คือเด็กที่สมัครใจหนีออกจากบ้าน อายุเฉลี่ยระหว่าง 13-15 ปี โดยเด็กหญิงหายออกจากบ้านมากกว่าเด็กชายเกือบ 3 เท่า ทั้งนี้ พบว่า เด็กที่หายออกจากบ้านมีปมปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัจจัยในการตัดสินใจหนีออกจากบ้าน โดยเฉพาะครอบครัวที่ลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง ด่าทอ และการห้ามเด็กทำสิ่งต่างๆ โดยไม่อธิบายเหตุผล นอกจากนี้ ยังพบว่า เด็กที่หายออกจากบ้าน มีแนวโน้มถูกชักชวนไปอยู่กับแฟนหรือคนที่รู้จักกันในโลกออนไลน์ และมีความเสี่ยงในการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีการป้องกันหรือป้องกันไม่ถูกวิธี

นายเอกลักษณ์ กล่าวว่า สำหรับแนวโน้มสถานการณ์เด็กหาย พบว่า 3 ปีที่ผ่านมา มีสถิติรับแจ้งเด็กหายลดลงทุกปี แต่ก็ยังถือว่ามีความรุนแรงของปัญหา เนื่องจากแต่ละปี มีเด็กหายออกจากบ้านเกินกว่า 400 คนทุกปี ทั้งนี้ ตัวเลขเด็กหายของทั้งประเทศ ซึ่งไม่ได้แจ้งมาที่มูลนิธิกระจกเงา อาจมีตัวเลขมากกว่านี้อีกหลายเท่า โดยกลุ่มวัยรุ่นอายุ 11-15 ปี ถือว่ามีความเสี่ยงในการตัดสินใจหนีออกจากบ้านได้ง่าย โดยเฉพาะเด็กที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรงในครอบครัว ทำให้เด็กไปยึดเหนี่ยวเพื่อนหรือคนที่เพิ่งรู้จักในโลกออนไลน์มากกว่าคนในครอบครัวทำให้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านได้โดยง่าย แม้ว่าเด็กจะสมัครใจหนีออกจากบ้านเอง แต่โลกภายนอกบ้าน มีอันตรายหลายอย่างสำหรับเด็ก ทั้งการคุกคามหรือหาประโยชน์ทางเพศกับเด็ก หรือมีความเสี่ยงในการถูกล่อลวง

นายเอกลักษณ์ กล่าวเว่า สำหรับวันเด็กที่จะถึงนี้ ขอแนะนำผู้ปกครองเตรียมตัวก่อนพาบุตรออกไปเที่ยวงานวันเด็ก ดังนี้ 1.ผู้ปกครองต้องทราบรูปพรรณของลูก ส่วนสูง น้ำหนัก สีเสื้อผ้า 2.ถ่ายรูปล่าสุดพร้อมชุดที่สวมใส่ของลูก ก่อนออกจากบ้าน 3.ทำป้ายชื่อ เบอร์ติดต่อครอบครัว ติดตัวเด็กไว้ 4.สอนลูกว่า หากพลัดหลง นัดเจอกันจุดไหน ขอความช่วยเหลือได้กับใคร 5.สอนลูกว่า หากตกอยู่ในอันตราย มีคนจูงมือไป ให้ตะโกนขอความช่วยเหลือ

พ.ต.อ.วาที อัศวุตมางกูร หัวหน้ากลุ่มงานตรวจเลือดชีวเคมีและเขม่าดินปืน สถาบันนิติเวชวิทยา กล่าวว่า สถาบันนิติเวชวิทยา ได้ดำเนินโครงการศูนย์กลางข้อมูลสารพันธุกรรม(เด็ก)ในประเทศไทย มาตั้งแต่ปี2553จนถึงปัจจุบัน มีการเก็บข้อมูลสารพันธุกรรมเด็กไว้ในฐานข้อมูลประมาณ1,292 รายในจำนวนนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากหลายหน่วยงานกล่าวคือเราได้รับการประสานขอความร่วมมือจากมูลนิธิกระจกเงาและมูลนิธิต่างๆในประเทศไทยที่ดูแลเด็กไร้ที่พึ่ง โดยเฉพาะเป้าหมายหลักเราต้องการเก็บข้อมูลของเด็กที่ไม่ทราบประวัติพ่อแม่ที่อยู่ในความดูแลของสถานสงเคราะห์ทั่วประเทศอีกจำนวนหลายพันคนแต่การเข้าถึงเด็กเหล่านั้นยังติดขัดในข้อกฎหมายซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่งเพราะเด็กเหล่านั้นจะไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ทราบไปตลอดจนกว่าเจ้าตัวจะอายุครบ18ปีบริบูรณ์ว่าใครเป็นพ่อแม่ที่แท้จริงโดยเฉพาะการตามหาตัวเด็กจากพ่อแม่ที่ลูกพลัดหลงกันหรือเด็กออกจากบ้านตามเพื่อนหรือกรณีถูกหลอกลวงออกจากบ้านโดยกลุ่มคนร้ายแต่เด็กหนีรอดมาได้และไม่สามารถกลับคืนสู่พ่อแม่ที่แท้จริง การที่เด็กถูกกวาดต้อนเข้ามาในระบบของรัฐนั้นการเยียวยาเด็กโดยให้การดูแลนั้นอาจไม่เพียงพอกล่าวคือเด็กจำเป็นที่จะได้รับโอกาสในการติดตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงมารับกลับไปดูแลเด็กกลุ่มนี้กำลังขาดโอกาสเหล่านั้นจากข้อกฎหมายที่ไม่สามารถนำเด็กเข้าสู่กระบวนการตรวจพิสูจน์ได้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายสำหรับตัวเด็กเองและพ่อแม่ที่กำลังติดตามหาเด็กเพื่อกลับสู่อ้อมกอดที่แท้จริงต่อไป

พ.ต.อ. ชัยวัฒน์ บูรณะ กล่าวว่า ฝ่ายทะเบียนประวัติอาชญากร 2 กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือว่าเป็นหน่วยงานแรกในประเทศไทยที่ใช้กระบวนการสร้างภาพสเก็ตช์เด็กหายให้มีอายุเทียบเท่าปัจจุบัน (Age Progression) โดยใช้หลักสากลคือเด็กหายที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ยังตามหาไม่พบจะทำการสเก็ตช์ภาพเพิ่มอายุ ทุก 2 ปี ส่วนเด็กหายที่มีอายุเกิน 18 ปี จะทำการ สเก็ตช์ภาพทุก 5 ปี ซึ่งช่วงเวลาเหล่านั้น จะเป็นช่วงเวลาที่ลักษณะใบหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลง

ขั้นตอนการทำงานได้มีการประสานงานกับมูลนิธิกระจกเงาเพื่อร่วมกันลงพื้นที่ ไปพบกับครอบครัวของเด็กหายเพื่อเก็บข้อมูลภาพถ่ายลักษณะใบหน้าของเด็กหายที่ถ่ายไว้ครั้งสุดท้าย พร้อมรวบรวมภาพถ่ายบุคคลในครอบครัว คือ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ภาพถ่ายพี่น้องในช่วงเวลาที่มีอายุ วัยเดียวกัน แล้วทำการวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อให้ได้ภาพสเก็ตซ์ฯ ที่มีความใกล้เคียงกับเด็กหายในช่วงอายุที่เป็นปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งกองทะเบียนประวัติอาชญากรได้ร่วมมือกับมูลนิธิฯ ทำภาพ สเก็ตช์ดังกล่าว มาแล้วจำนวน 7 ภาพ ภาพสเก็ตซ์ รายล่าสุดในวันนี้ คือ เด็กหญิงพัทวรรณ อินทร์สุข หรือน้องดา อายุขณะหาย 4 ปีหายตัวไปจากบ้านที่อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2557ปัจจุบันน้องดาอายุ 7 ขวบจึงได้มีการทำภาพจำลองเพราะใบหน้าของน้องดาจะเปลี่ยนไป

พ.ต.อ.ชัยวัฒนะ กล่าวทิ้งท้าย ถึงข้อแนะนำของตำรวจ?ในการป้องกันเด็กหาย ดังนี้ 1. ผู้ปกครองต้องให้ความรัก ความอบอุ่น ดูแลเด็ก อย่างใกล้ชิดไม่ให้เกิดปัญหาในครอบครัว 2. รับรู้ข้อมูลเด็กอย่างต่อเนื่อง 3. สร้างเครือข่ายผู้ปกครองโดยสามารถติดต่อสื่อสารระหว่างกันได้เร็วที่สุด 4. อย่าปล่อยให้เด็กอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงหรืออยู่ตามลำพัง 5. ให้คำแนะนำเด็กให้รู้ถึงวิธีการล่อลวงของคนร้ายฝึกให้เด็กได้มีทักษะการสังเกตจดจำเบื้องต้น

 

 

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์