บทสรุป “ทัพช้างศึก” ยืดอกได้ ไม่น่าอาย แม้เป็น “บ๊วย” ของกลุ่ม

ทีมชาติไทยหมดหน้าที่ ในฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกไปแล้ว เราผ่านเข้ามาถึงรอบ 12 ทีม ลงเตะ 10 นัด มี 2 แต้ม ไม่ชนะใครเลยทั้ง 10 เกม

ดูจากตัวเลขมันก็น่าผิดหวัง แต่ถ้าพูดถึงผลงานในสนามทีมไทยเป็นผู้แพ้ที่ไม่น่าอายนะครับ คู่แข่งให้การยอมรับนับถือในระดับหนึ่ง และได้กำไรจากความพ่ายแพ้พอสมควร

เราไม่มีอะไรจะเสีย รู้แก่ใจอยู่แล้วว่า โอกาสมีน้อย แต่ที่บอกว่าได้กำไร คือก่อนเริ่มแข่งกับหลังแข่งจบครบ 10 นัด ทีมชาติไทยเปลี่ยนไปแทบจะเป็นคนละทีม

จากเดิมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นทีมนักสู้ สปิริตแรง เล่นด้วยหัวใจ ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมาเป็นทีมที่มีความหลากหลาย มีของ มีอาวุธมากกว่าเดิม ที่เห็นชัดคือ รู้จักสู้ด้วยแท็กติกแผนการเล่น มีวินัย มีความรับผิดชอบ นิ่ง มีสมาธิในเกมมากขึ้น เรื่องความฟิตก็เหมือนจะดีกว่าเดิมด้วย

ไม่ใช่ ว่าเอาผลงานของโค้ชซิโก้ มาเปรียบเทียบกับโค้ช มิโลวาน ราเยวาช เรื่องนี้ไม่ควรเอามาวัดกัน เพราะราเยวาชเป็นโค้ชอาชีพ ทำงานมานาน ความเก๋า ประสบการณ์มีมากกว่า ย่อมเพิ่มเติมอะไรใหม่ ๆ ได้มากกว่าเป็นธรรมดา

การมีโค้ชฝรั่งมืออาชีพทำให้เรารับมือกับบรรดาทีมใหญ่ ๆ ได้สูสีขึ้น เพราะสู้ด้วยแท็กติก เล่นตามแผนโค้ช ทีมไทยยุคราเยวาชอาจจะเร้าใจน้อยลง เล่นไม่สนุกเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็จะมีโอกาสได้แต้มจากนัดยาก ๆ มากกว่าเดิม

โค้ชราเยวาชคุมทีมไทยเล่นฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก 3 นัดสุดท้าย เสมอ อาหรับเอมิเรตส์ 1-1 และแพ้อิรักกับออสเตรเลีย 2-1 ทั้งคู่

3 เกมนี้ ถ้าเราเก๋ากว่าที่เห็นอีกหน่อย น่าจะได้อย่างน้อย 5 แต้ม ทีมไทยสมควรชนะอาหรับเอมิเรตส์ แม้แต่เกมล่าสุดกับออสเตรเลีย ก็ไม่ควรแพ้ เมื่อดูจากฟอร์มในครึ่งหลัง ซึ่งเราสวนกลับได้ดีเหลือเกินจะว่าไป ทีมไทย

โชคร้ายนะครับที่ไม่ชนะเลยในรอบ 12 ทีม

เราสู้กับออสเตรเลียได้สนุกทั้ง 2 นัด ตอนไปเยือนซาอุฯก็เล่นดี

เจอเอมิเรตส์ก็น่าเสียดายที่โดนตีเสมอในช่วงทดเวลา

ทีมไทยมักจะเสียประตูช่วงท้ายเกม ไม่ว่ายุคซิโก้หรือราเยวาซ จุดนี้เป็นเรื่องที่ต้องปรับ สมาธิ กับการยืนระยะกันต่อไป

เราได้บทเรียนที่มีประโยชน์ ได้ใจแฟนบอล การเป็นทีมบ๊วยทำร้ายทีมไทยไม่ได้เลย