วิธีง่าย ๆ ลองทำการตลาด ด้วย Location

คอลัมน์ Pawoot.com
คอลัมน์ Pawoot.com
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ

ผมอยากจะแชร์เรื่อง location marketing หรือการตลาดด้วย location หลายคนอาจจะเกิดคำถามว่าคืออะไร ต้องบอกว่าตอนนี้การทำการตลาดเปลี่ยนไป เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยนไป พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนไปวิธีการเข้าถึงลูกค้าก็เปลี่ยนไปด้วย

ทุกวันนี้เราอยู่ในยุคที่สามารถที่จะระบุตำแหน่งของลูกค้าได้ไม่ยาก เมื่อก่อนเทคโนโลยีการระบุตำแหน่ง เราใช้ IP address ในยุคแรกนี้สามารถเสิร์ชได้ว่าอยู่ในประเทศใด จากระดับประเทศก็เริ่มเป็นระดับพื้นที่

แต่เมื่อเข้าอินเทอร์เน็ตสู่ยุคสมาร์ทโฟน ก็สามารถระบุตำแหน่งของคนได้ ข้อมูลตรงนี้จึงสามารถระบุได้ว่า คุณอยู่ตรงจุดไหน

แต่มาตอนหลังการยืนยันตัวตนเพื่อระบุตำแหน่งคนเริ่มใช้ cell site มากกว่า 1 ตัว และเมื่อเทคโนโลยีของเสาโทรศัพท์พัฒนามากขึ้น และมีความถี่มากขึ้น จึงใช้จุดตัดของสัญญาณทำให้รู้ว่าอยู่ตำแหน่งไหนได้แม่นยำมากขึ้น ยิ่งตอนหลังโทรศัพท์มือถือเริ่มมีระบบ GPS ยิ่งทำให้แม่นยำมากขึ้นไปอีก

เมื่อเข้าสู่ยุคหลัง การค้นหาข้อมูลสินค้าหรืออะไรก็ตามจะเริ่มมีการนำข้อมูลต่าง ๆ ของเรามาประกอบด้วย เช่นค้นหาร้านอาหารญี่ปุ่นใน Google และเราอยู่บริเวณสุขุมวิท ผลการค้นหาจะปรากฏร้านอาหารญี่ปุ่นแถวสุขุมวิทว่ามีร้านใดบ้าง

นั่นก็เพราะเขารู้ตำแหน่งของเราประกอบกับมีการทำ indoor navigation ระบบนำทางที่สามารถบอกแผนที่ได้เลย ก็ยิ่งมีข้อมูลมากขึ้น

ในแง่ของนักการตลาดจึงเริ่มมีการเอาการระบุตำแหน่งของคนมาใช้ เพื่อให้เข้าถึงตำแหน่งของลูกค้าได้แม่นยำมากขึ้นเช่น เปิดร้านแถวจตุจักร เราสามารถกำหนดการดึงลูกค้าที่เดินอยู่ในละแวกจตุจักรเท่านั้นได้

เดี๋ยวนี้เครื่องมือพวก Facebook หรือ Google Ad สามารถระบุตำหน่งคนได้ โดยเมื่อลูกค้าเปิดFacebook ก็จะเห็นโฆษณาของเราได้ทันที หรือใน Google ก็ทำได้

โฆษณาในปัจจุบันแม่นยำมากขึ้น คือ 1) แม่นยำในเชิงตำแหน่งของคน 2) ทาร์เก็ตกลุ่มเป้าหมาย อายุ เพศ วัย จะตรงมากขึ้น 3)

ยิ่งเป็นคนที่เคยเข้าไปดูเว็บไซต์ หน้าเพจต่าง ๆ พฤติกรรมจะสะท้อนว่าเคยไปกดดูหน้าเพจสินค้านั้นแล้ว จะทำให้ยิ่งแม่นยำเข้าไปใหญ่ ฉะนั้น การตลาดวันนี้ location สำคัญมาก

และเดี๋ยวนี้ Google Map เปิดโอกาสให้สามารถบริหารจัดการตำแหน่งธุรกิจของตัวเองได้ เราสามารถรู้เบอร์โทรศัพท์ของธุรกิจใด ๆ จากการค้นหาใน Google Map ซึ่งตอนนี้ Google ได้มีการซื้อข้อมูลของธุรกิจทั่วโลก ทำให้รู้เบอร์โทรศัพท์

อาจรวมไปถึงเมนูต่าง ๆ หรือรายละเอียดอื่น ๆ ด้วย ใน Google Map จะมีข้อมูลร้านค้า เบอร์ โทร.ติดต่อ รูปภาพ มีรีวิว ฯลฯ ซึ่ง Google ได้เปิดอีกบริการหนึ่งคือ Google My Business หากเราเป็นเจ้าของธุรกิจ สามารถเข้าไปยืนยันได้ว่าเป็นเจ้าของสถานที่ หรือบริษัทนี้ และเข้าไปแก้ไขข้อมูลได้

นอกจาก Google รู้ในรายละเอียดต่าง ๆ แล้ว Google Map จะรู้ความหนาแน่นของคนในช่วงเวลานั้นด้วย โดยจะมีกราฟแสดงให้เห็น นั่นก็เพราะเขารู้ตำแหน่งมือถือที่อยู่ในร้านนั้น นั่นก็เพราะมีการเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้ตลอดเวลา

ฉะนั้น คนทำธุรกิจต้องหันมามองว่า สิ่งที่อยู่ใน Google Map นั้น คุณสามารถเข้าไปบริหารจัดการธุรกิจของคุณบน Google Map ได้ เข้าไปค้นหาหรือดาวน์โหลดแอปที่ชื่อ Google My Business หากตำแหน่งตรงนั้นเป็นธุรกิจของคุณ จะมีการให้คุณทำการยืนยัน

และเมื่อยืนยันเรียบร้อยแล้ว คุณจะเห็นข้อมูลมหาศาล รู้จำนวนคนเข้าร้านในแต่ละวัน เพศใด มาจากไหน ฯลฯ มีระบบเครื่องมือเอาไว้แชต สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลทุกอย่างได้

เหมาะมากกับธุรกิจที่มีหน้าร้านค้าที่อยากรู้ว่าคนที่เข้ามาในร้านค้าเป็นอย่างไร สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อได้ว่า ลูกค้ามาจากไหนบ้าง เป็นเพศไหน อยู่นานกี่นาที กี่ครั้ง เปิดโอกาสให้คนมารีวิวให้ดาวได้ด้วย

ตรงนี้เองที่หลายคนละเลยไม่ไปตรวจสอบข้อมูล อย่าลืมว่าตอนนี้ธุรกิจของคุณกระจายทั่วไปในอินเทอร์เน็ตทั้งใน Google หรือบางคนก็ไป check in ร้านค้าของคุณใน Facebook และรีวิวต่าง ๆ เราเป็นเจ้าของธุรกิจกลับไม่ได้ตรวจสอบหรืออัพเดตอะไรเลย

ฉะนั้น ที่ผมจะแนะนำ คือ 1.ลองไปค้นหาชื่อธุรกิจของคุณใน Google Map ตรวจสอบข้อมูลตำแหน่งที่ตั้ง เบอร์โทรศัพท์ มีใครรีวิว คอมเมนต์อย่างไร รูปภาพตรงกับธุรกิจไหม 2.เข้าไปใน Facebook Place ค้นหาธุรกิจของคุณ ดูว่ามีคนมา check in หรือคอมเมนต์อย่างไรบ้าง

นี่คือส่วนสำคัญ ตำแหน่งของลูกค้ากับข้อมูลในอินเทอร์เน็ต รวมถึงข้อมูลของธุรกิจของเรามันเชื่อมโยงกันหมดเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดคือตัวอย่างของการใช้ตำแหน่งของลูกค้า หนึ่ง คือในการโฆษณาเพื่อหาลูกค้าที่อยู่ใกล้ตำแหน่งของเรา

สอง คือสามารถทำการตลาดแบบ location เพราะคนเริ่มใช้แผนที่ หรือข้อมูลในพื้นที่ เพื่อการตัดสินใจ เราเองต้องเข้าไปบริหารจัดการข้อมูลตรงนั้นให้ถูกต้อง และสามารถโน้มน้าวจิตใจลูกค้าได้