“โอสถสภา” ทุ่มลงทุนไทย-เทศ ปูพรมสินค้าใหม่/ตั้งบริษัทลุยอีคอมเมิร์ซ

“โอสถสภา” ใส่เงินลงทุนไม่ยั้ง จัดทัพยึดตลาดไทย-เทศ รับกำลังซื้อ “อาเซียน”สะพรั่ง บอร์ดไฟเขียวเพิ่มงบฯลงทุนในบริษัทจัดจำหน่ายชูกำลังเวียดนาม-ยกระดับธุรกิจจัดจำหน่ายเป็นขายส่ง พร้อมกรุยทางเป็นเทรดดิ้ง คอมปะนี พร้อมประกาศเพิ่มทุนบริษัทในเครือ เปิดเกมรุกตั้ง 2 บริษัทใหม่ “โอเมจิน-โอยูระ” ลุยอีคอมเมิร์ซ-บริหารแพลตฟอร์ม เปิดรายได้ 9 เดือน กวาดนิ่ม ๆ 2 หมื่นล้าน กำไรเบาะ ๆ 2.4 พันล้าน ประกาศเดินหน้ารุกตลาดชูกำลัง-ฟังก์ชั่นนอลดริงก์ พร้อมปูพรมสินค้าใหม่อีกเพียบ


หลัง “โอสถสภา” ได้ปรับบทบาทจากธุรกิจครอบครัวสู่การบริหารแบบมืออาชีพ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจในปัจจุบัน พร้อมกับนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อปี 2561 โดยระดมทุนได้กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท เพื่อนำมาต่อยอดและขับเคลื่อนธุรกิจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โอสถสภาได้ทยอยสร้างฐานธุรกิจครั้งใหญ่ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจทั้งในประเทศที่ยังคงเดินหน้าเพิ่มกำลังการผลิตทั้งขวดแก้วและแป้ง ตลอดจนการเข้าซื้อกิจการธุรกิจเวนดิ้ง แมชีน รวมทั้งมีการตั้งบริษัทใหม่ เพื่อทำตลาดอีคอมเมิร์ซ ขณะที่ธุรกิจในต่างประเทศ ก็มีการลงทุนเพิ่มตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ว่าจะเป็นโรงงานผลิตขวดแก้ว และจัดจำหน่ายขวดแก้ว ในเมียนมา

การจับมือกับพันธมิตรเพื่อดำเนินธุรกิจขายส่งและตั้งบริษัทจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลังในเวียดนามเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา

บุกเวียดนาม-เมียนมาเต็มสูบ

นายเพชร โอสถานุเคราะห์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุดเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้อนุมัติการลงทุนในบริษัท Myanmar Golden Eagle Company Limited (MGE) โรงงานขวดแก้ว และบริษัท Myanmar Golden Glass Company Limited (MGG) ธุรกิจจัดจำหน่ายขวดแก้ว เพื่อเป็นการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ภายในปี พ.ศ. 2564

นอกจากนี้ยังได้เพิ่มทุนและปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัท โอสถสภา ลอยเฮง จำกัด เพื่อเพิ่มดีกรีการทำตลาดในเมียนมา จากเดิมที่เป็นธุรกิจจัดจำหน่าย (distribution) เพื่อรองรับการดำเนินธุรกิจแบบขายส่ง (wholesale) และเป็นการต่อยอดสู่การเป็นเทรดดิ้ง คอมปะนี ในอนาคต จากเดิมมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็น 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และปรับสัดส่วนการถือหุ้นใหม่ จากเดิมที่ถือหุ้นโดยโอสถสภา 51% และพันธมิตรท้องถิ่น บริษัท ลอย เฮง จำกัด 49% เป็นโอสถสภา 8.5% ลอย เฮง 15% โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ สิงคโปร์ 76.5%

รวมถึงการเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ภายใต้ชื่อ “Osotspa VTA Joint Stock Company” หรือ OSPVTA ทุนจดทะเบียน 75,210,000 บาท โดยโอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ สิงคโปร์ ถือหุ้น 60% และเวียดนาม เทรด์ อลิแอนซ์ จอยท์ สต๊อค คอมพานี 40% เพื่อดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชูกำลัง ซึ่งเวียดนามเป็นตลาดที่มีศักยภาพการเติบโต จากจำนวนประชากรที่สูงและส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว และเศรษฐกิจที่เติบโตต่อเนื่อง และกำลังซื้อและการจับจ่ายใช้สอยที่เพิ่มขึ้น

เพิ่มทุน-ตั้งบริษัทลุยอีคอมเมิร์ซ

รายงานข่าวจากบริษัทโอสถสภาเปิดเผยว่า นอกจากนี้เมื่อกลางปีที่ผ่านมา โอสถสภายังได้ตั้งบริษัทใหม่ 2 บริษัท ประกอบด้วย บริษัท โอเมจิน จำกัด ทุนจดทะเบียน 100 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจที่จะช่วยให้โอสถสภามีศักยภาพในการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เช่น อีคอมเมิร์ซ ร้านขายยา เป็นต้น และบริษัท โอยูระ จำกัด ทุนจดทะเบียน 30 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจบริหารแพลตฟอร์ม ให้ความรู้ และขายสินค้าที่มีส่วนผสมของสมุนไพร เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีการเพิ่มทุนในบริษัทย่อยทั้งที่อยู่ในไทยและต่างประเทศหลายบริษัท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจ อาทิ บริษัท สยามกลาสอยุธยา จากเดิมมีทุนจดทะเบียน 780 ล้านบาท เป็น 2,280 ล้านบาท บริษัท โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ จากเดิม 2,069.5 ล้านบาท เป็น 2,909.5 ล้านบาท

บริษัท โอสถสภา เอ็นเตอร์ไพรซ์ สิงคโปร์ จากเดิม 48.61 ล้านดอลลาร์ เป็น 58.61 ล้านดอลลาร์ บริษัท เอสเอสบี เอ็นเตอร์ไพรซ์ จากเดิม 1 ล้านบาท เป็น170 ล้านบาท บริษัท โอเวนเจอร์ จากเดิม10,785,178 ดอลลาร์ เป็น 27,785,178 ดอลลาร์ รวมถึงการเพิ่มทุนในบริษัท เบสแคมป์ บริวส์ จากทุนจดทะเบียน 9,513,518 ดอลลาร์ เป็น 10,785,178 ดอลลาร์ หลังจากการเข้าซื้อหุ้นของเบสแคมป์ บริวส์ บริษัทเครื่องดื่มในสหราชอาณาจักร เมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ในสัดส่วน 20% คิดเป็นเงิน 10.4 ล้านปอนด์

โกยรายได้ 9 เดือน 2 หมื่นล้าน

สำหรับผลประกอบการในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา โอสถสภามีรายได้รวม 19,438 ล้านบาท เติบโต 5.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ 2,436 ล้านบาทเติบโต 9.9% ปัจจัยหลักมาจากการเติบโตของกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มชูกำลัง ที่มีสินค้าหลักอย่าง เอ็ม-150 ที่ยังครองความเป็นผู้นำตลาดด้วยส่วนแบ่งถึง 37% เครื่องดื่มบำรุงกำลังผสมสมุนไพร โสมอินซัม รวมถึงกลุ่มธุรกิจฟังก์ชั่นนอลดริงก์ อาทิ ซี-วิต และ เปปทีน ที่เติบโต37.8% และ 31.8% ตามลำดับ และมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “วี พลัส” เครื่องดื่มผสมเกลือแร่ วิตามินซี และคูลมินต์ และ “สลิมม่า” เครื่องดื่มควบคุมน้ำหนัก ที่เป็นการใช้กลยุทธ์แบบสตาร์ตอัพ หรือเน้นออกสินค้าเพื่อทดลองตลาด เจาะผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม และจัดจำหน่ายในช่องทางเฉพาะ อาทิ ออนไลน์ สถานออกกำลังกาย

ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคลแบรนด์เบบี้มายด์ยังคงรักษาความเป็นผู้นำในตลาดสบู่เหลวสำหรับเด็ก ต่อยอดจากกลุ่มผลิตภัณฑ์เบบี้มายด์ สวีท อัลมอนด์ ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนั้นบริษัทยังมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากกลยุทธ์ควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย หรือ fit fast firm อาทิ การปรับสูตรสินค้า การปรับบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ

นางพรธิดา บุญสา กรรมการบริหารและรองกรรมการผู้จัดการสายการเงิน บริษัท โอสถสภา กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานจากนี้ไป บริษัทจะยังเดินหน้าทำตลาดทั้งในประเทศอย่างต่อเนื่อง

โดยตลาดในประเทศจะเน้นที่เครื่องดื่มชูกำลังและฟังก์ชั่นนอลดริงก์ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อาทิ ซี-วิต เปปทีน(บำรุงสมอง) และเปปทีน พลัส (บำรุงสายตา) และที่ผ่านมาเพิ่งวางสินค้าใหม่ อาทิ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ภายใต้แบรนด์โอเล่ และการ์ดน้ำหอมภายใต้แบรนด์ทเวลฟ์พลัส

นอกจากนี้ก็จะให้ความสำคัญกับการรุกตลาดในส่วนของเวนดิ้งแมชีนมากขึ้น โดยเตรียมลงทุนต่อเนื่องจากปัจจุบันมีประมาณ 2,000 ตู้ เป็น 2,300 ตู้ ภายในปลายปีนี้ เน้นเจาะทำเลออฟฟิศ สถานศึกษาที่อยู่อาศัย โดยอยู่ระหว่างปรับธุรกิจเพื่อให้สามารถสร้างกำไรได้ทันทีที่วางตู้