เทรนด์รักษ์โลก ดัน “กระบอกน้ำ” ฮิต แห่ขนสินค้าใหม่รับตลาดโต

กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิคึกคัก รับกระแสลดพลาสติกดันดีมานด์พุ่ง ชี้ไซซ์ตลาดมหาศาล-โอกาสเติบโตสูง “โซจิรูชิ” เร่งขยายไลน์อัพ ชูดีไซน์-สีสันชิงดีมานด์พนักงานออฟฟิศ “ไทเกอร์-นิกโก้” ขยายโรงงาน เพิ่มจำนวนสินค้า 2 เท่ารับดีมานด์ ด้าน “ล็อก แอนด์ ล็อก” ไม่ยอมตกขบวน โดดร่วมวง บริษัทแม่ขอลุยทุ่ม 260 ล้านขยายสาขาเจาะ กทม.

กระแสการลดการใช้พลาสติกที่แรงอย่างต่อเนื่อง รวมกับความนิยมกาแฟและเครื่องดื่มชง ได้ช่วยผลักดันให้ภาชนะเก็บอุณหภูมิอย่างกระบอกน้ำและกระติกน้ำ ซึ่งเดิมเป็นสินค้าเฉพาะกลุ่ม กลายเป็นสินค้ากระแสหลักซึ่งผู้บริโภคหลากหลายกลุ่มให้ความสำคัญและซื้อหาไว้ใช้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ นักท่องเที่ยว ฯลฯ ส่งผลให้ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา มีแบรนด์ใหม่ ๆ ทั้งไทย เกาหลีใต้ และฝรั่งเศส ตบเท้าเข้ามาชิงเม็ดเงินในไทยอย่างต่อเนื่อง

นายซึคาสะ คานากาวะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โซจิรูชิ เอสอี เอเชีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตภาชนะเก็บอุณหภูมิและเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ “โซจิรูชิ” (Zojirushi) จากประเทศญี่ปุ่น ฉายภาพว่า ปัจจุบันแม้ว่าตลาดสินค้าภาชนะเก็บอุณหภูมิ อาทิ กระบอกน้ำ กระติกน้ำ และภาชนะใส่อาหารจะยังไม่มีการเก็บข้อมูลตัวเลขอย่างเป็นทางการ แต่โดยบริษัทประเมินว่าตลาดน่าจะมีขนาดประมาณ 2 ล้านใบ มีผู้เล่นหลัก ๆ เพียง 3 แบรนด์ คือ โซจิรูชิ, ไทเกอร์ และเทอร์มอส (Thermos) ซึ่งช่วง 1-2 ปีนี้มีผู้ประกอบการรายใหม่ทั้งไทยและต่างชาติกระโดดเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น อาทิ ทีฟาวล์, ล็อก แอนด์ ล็อก, นิกโก้ เป็นต้น เนื่องจากตลาดนี้ดีมานด์เริ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะหลังจากกระแสลดใช้พลาสติกเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ประกอบกับความนิยมดื่มเครื่องดื่มชง ทั้งกาแฟสดและชาของชาวไทยทุกกลุ่ม และมีการแข่งขันในเรื่องราคามากขึ้น สะท้อนจากยอดขายของบริษัทช่วง 3 ปีล่าสุดเติบโตเฉลี่ย 5-10% ต่อปี

“เชื่อว่า จากกระแสการรณรงค์ลดพลาสติกที่เข้มข้นขึ้นจะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาดนี้เติบโตต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อย 1-2 ปี โดยมีพนักงานออฟฟิศเป็นแหล่งดีมานด์หลัก ตามพฤติกรรมการบริโภคเครื่องดื่มและความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงบริษัทห้างร้านที่นิยมนำไปใช้เป็นของขวัญให้พนักงาน-คู่ค้า”

กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โซจิรูชิฯ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการดำเนินงานของบริษัทในช่วงจากนี้ไป จะเน้นการเพิ่มจำนวนสินค้าที่นำมาทำตลาดให้มากขึ้น พร้อมเพิ่มความหลากหลายของรูปแบบ ดีไซน์ สีสัน และมุ่งเน้นการจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นพนักงานออฟฟิศ นักท่องเที่ยว เช่น แก้วทัมเบลอร์ที่ใส่น้ำแข็งได้จำนวนมาก การใช้สีโทนพาสเทล-ลวดลายสวยงาม รวมถึงการเพิ่มสินค้าไซซ์เล็กประมาณ 220 มิลลิลิตรเข้ามาทำตลาดมากขึ้น เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มงบฯการตลาดอีก 15% เพื่อขยายช่องทางขายเข้าไปในร้านแก็ดเจต ร้านเฟอร์นิเจอร์ ร้านสเปเชียลตี้ เปิดโชว์รูมเพิ่มอีก 1 แห่ง รวมเป็น 8 แห่ง จัดโรดโชว์รายเดือนทั้งตามออฟฟิศ งานท่องเที่ยว และจัดเวิร์กช็อปชงกาแฟในห้างสรรพสินค้า รวมถึงโปรโมชั่นลดราคา แถมของสมนาคุณ และกิจกรรมชิงรางวัลที่จัดต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจชดเชยกับสภาพเศรษฐกิจ-กำลังซื้อ จากแนวทางดังกล่าวคาดว่าช่วยให้บริษัทเติบโตได้ 5-10% จากปกติที่มีตัวเลขเฉลี่ย 4-5% ต่อปี

นายสุรไกร ไพรสานฑ์กุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ไทยซิน อุตสาหกรรม จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสินค้าแบรนด์ไทเกอร์ รวมถึงผลิตสินค้าเครื่องใช้ในครัวแบรนด์นิกโก้ กล่าวว่า ความตื่นตัวเรื่องลดพลาสติกเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความนิยมกระบอกน้ำให้มีมากขึ้น เห็นได้จากยอดขายในงานกาชาดปลายปี 2562 ซึ่งยอดขายกระบอกน้ำนิกโก้พุ่งขึ้นจากปีก่อน 3-4 เท่าตัว และยอดขายในภาพรวมเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 30-40% เพื่อรับดีมานด์นี้ จึงได้จับมือพาร์ตเนอร์ลงทุน 600 ล้านบาท เปิดโรงงานผลิตกระบอกน้ำ บนพื้นที่ 11 ไร่เพิ่ม เพื่อผลิตกระบอกน้ำและสินค้าอื่น ๆ ในแบรนด์นิกโก้ เตรียมเดินเครื่องในปี 2563 นี้ สำหรับขายในประเทศและส่งออกไปยังเพื่อนบ้าน

“ปีนี้เราจะมีสินค้าแบรนด์ไทเกอร์เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 เท่าตัว คือจาก 15-30 เอสเคยู เป็น 60 เอสเคยู และจะเน้นเพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานอย่างหูแขวนสำหรับกลุ่มออกกำลังกาย-เล่นกีฬา รวมถึงดีไซน์ สีสัน และนวัตกรรมใหม่ ๆ รวมถึงการย้ำความเชื่อมั่นด้วยการรับประกัน 1-5 ปี นอกจากนี้ยังขยายฐานจับนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีศักยภาพ เนื่องจากนิยมใช้งานกระบอกน้ำอยู่แล้ว โดยปีที่แล้วได้จัดแคมเปญฉลองงานวันชาติจีนซึ่งได้ผลตอบรับน่าพอใจ

นายจุง วุง มูน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์ถนอมอาหาร “ล็อก แอนด์ ล็อก” กล่าวว่า ล่าสุด บริษัทแม่ที่เกาหลีใต้เล็งเห็นว่า ไทยเป็นตลาดเป้าหมายสำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยดีมานด์จากทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและชาวไทย จึงได้ตัดสินใจเข้ามาทำตลาดเอง

เมื่อกลางปี 2562 หลังสัญญาตัวแทนจำหน่ายกับศรีไทยและดีเคเอสเอชหมดอายุลง พร้อมทุ่มงบฯ 260 ล้านบาท ขยาย-รีโนเวตสาขา โดยเปิดสาขาแฟลกชิปที่เซ็นทรัลเวิลด์ ในชื่อ “เพลซ แอลแอล” (PLACE LL) ซึ่งเป็นคอนเซ็ปต์ใหม่เน้นความทันสมัย รีโนเวตสาขาที่แฟชั่นไอส์แลนด์และเมกาบางนา และปี 2563 นี้เตรียมขยายเพิ่มอีก 5 สาขา พร้อมเน้นทำตลาดทัมเบลอร์ให้มากขึ้น จากเดิมที่เน้นเฉพาะบรรจุภัณฑ์ถนอมอาหาร เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาดให้ได้อย่างน้อย 30% และสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้า 487 ล้านบาท