สัมภาษณ์พิเศษ
เป็นที่ชัดเจนแล้ว สำหรับแบรนด์รถจักรยานยนต์ “ดูคาติ” ในบ้านเรา ได้เปลี่ยนมือจากผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรายเดิม ที่ดูแลมาถึง 18 ปี ภายใต้อุ้งปีกของกลุ่มลีนุตพงษ์ หรือ “ชาริส โฮลดิ้ง” ก่อนที่จะส่งผ่านให้ผู้ดูแลรายใหม่
ซึ่งไม่ใช่ใครอื่นไกล กลุ่มไมซ์สเตอร์ เทคนิค ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ออดี้” ในบ้านเรานั่นเอง
- ร้านธงฟ้า 1.4 แสนแห่ง พร้อมรับดิจิทัลวอลเลต เช็กจังหวัดไหนร้านธงฟ้ามาก-น้อยสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
อะไรคือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้บริษัทแม่ตัดสินใจ
“มาร์โค บิออนดิ” รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของดูคาติ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ระบุชัดเจนว่า ที่มอบหมายให้กลุ่มออดี้ ก็เพื่อวางรากฐานการทำตลาดดูคาติในประเทศไทยอีกครั้ง รวมทั้งการให้น้ำหนักความสำคัญ ในฐานะฐานการผลิตหนึ่งในสองของโลก
Q : อะไรคือความได้เปรียบของผู้จำหน่ายรายใหม่
เราในฐานะบริษัทแม่ ได้ “มอนิเตอร์” ตลาดของ “ดูคาติ” ในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับในช่วง 5 ปีให้หลัง ที่กลุ่ม “ไมซ์สเตอร์ เทคนิค” ได้เข้ามาดูแลลูกค้าชาวไทยถือว่าทำได้ดีมาก สามารถทำให้ “แบรนด์ออดี้” กลับมาแจ้งเกิดอีกครั้งในตลาดประเทศไทย มีความเป็นมืออาชีพและทีมงานคร่ำหวอดอยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมาอย่างยาวนาน
และที่สำคัญ ทั้งแบรนด์ “ออดี้” และ “ดูคาติ” อยู่ในเครือเดียวกัน จึงไม่ใช่เรื่องยาก และเราสามารถทำให้แบรนด์ทั้งสองเดินไปด้วยกันได้ในตลาดนี้ ได้อย่างแข็งแรงและแข็งแกร่ง
Q : แผนสนับสนุนธุรกิจในช่วงเปลี่ยนมือ
เราตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแล ชื่อ “โมโตเร อิตาเลียโน” เราต้องการเรียกความเชื่อมั่นของลูกค้ากลับคืนมา ที่ผ่านมาเรามีฐานลูกค้าในประเทศไทยอยู่ 15,000 ราย
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ “ดูคาติ” เราเป็นแบรนด์แรกที่เข้ามาลงทุนโรงงานเพื่อทำรถบิ๊กไบก์ เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างจริงจัง ทำให้เราได้เปรียบในช่วงนั้นคือ เรื่องการทำราคาจำหน่าย สร้างตลาดจนบูมขึ้น และทำให้ผู้เล่นรายต่าง ๆ ตัดสินใจเข้ามาผลิตในประเทศไทยมากขึ้น แน่นอนว่าวันนี้ก้อนเค้กยังเท่าเดิมอยู่ แต่ชิ้นเค้กของเราถูกแบ่งออกไปให้เล็กลง
ดังนั้น สิ่งที่เราจะสนับสนุนก็คือโครงสร้างราคา ประกอบกับการบริการหลังการขาย ที่ผ่านมาอาจจะไม่ “เพอร์เฟ็กต์” จึงทำให้เค้กเราลดลง สิ่งสำคัญที่เราจะรักษาเค้กของเราเอาไว้คือ “บริการหลังการขาย” เป็นตัวนำ ซึ่งก็สอดคล้องกับนโยบายของ “กฤษฎา ล่ำซำ” ประธานกลุ่มไมซ์สเตอร์ เทคนิค
Q : มองศักยภาพฐานผลิตในไทยอย่างไร
ปัจจุบันดูคาติมีโรงงานผลิตเพียงแค่ 2 แห่งในโลกนี้ คือที่อิตาลี และไทย แน่นอนว่าไทยจะต้องได้ประโยชน์ก่อน
ปีที่ผ่านมาเราผลิตรถจากโรงงานประเทศไทยได้ถึง 12,000 คัน จากกำลังผลิตสูงสุดทำได้ 18,000 คันต่อปี ซึ่งไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกไปยังตลาดใหญ่อย่างจีน กลุ่มประเทศอาเซียน และเรายังส่งรถไปยังฝรั่งเศส อังกฤษ ออสเตรเลียด้วย
และจากแนวโน้มความต้องการของตลาดที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจีน ก็มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทเตรียมพิจารณาเพื่อขยายกำลังผลิตในอนาคตด้วย
Q : สัดส่วนการถือหุ้นในโมโตเร อิตาเลียโน
หุ้นส่วนใหญ่ 60% เป็นของไมซ์สเตอร์เทคนิค และอีก 10% เป็นของ “ดอม เหตระกูล” กรรมการผู้จัดการ ส่วนอีก 30% จะเป็นของทีมผู้บริหาร
Q : ออดี้และดูคาติจะไปเป็นแพ็กเดียวกันหรือเปล่า
แน่นอนว่าทั้งในต่างประเทศเราก็เป็นแบบนั้น คือ โชว์รูมทั้งออดี้และดูคาติอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งช่วยได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะในเรื่องการแชร์ต้นทุนค่าใช้จ่ายต่าง ๆ
ประกอบกับลูกค้าของทั้ง 2 แบรนด์ เป็นกลุ่มเฉพาะมีเทรนด์ความเป็นสายพันธุ์สปอร์ต มีความสนุก ตื่นเต้น เร้าใจ ที่สามารถไปด้วยกันได้ ธุรกิจทั้งสองจะช่วยซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน
Q : แผนรุกตลาดต้องปรับอย่างไรบ้าง
โมโตเร อิตาเลียโน เราใช้กลยุทธ์ 4 ด้าน คือ บริการหลังการขาย, เครือข่ายการจัดจำหน่าย, สินค้าและการตลาด เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อน
ปีนี้เรามีแผนจะขยายโชว์รูมและศูนย์บริการ ได้แก่ สุวรรณภูมิ, เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา, และ ตจว. อาทิลพบุรี, พิษณุโลก, หาดใหญ่ จ.สงขลา
และภายในปีนี้จะเปิดเพิ่มให้ครบ 10 สาขา โดยจะมีสาขา ถ.กาญจนภิเษก, ถ.เพชรบุรี, บุรีรัมย์, ขอนแก่น
ที่ผ่านมามีการปรับโครงสร้างราคาลง 5-10% มีจำหน่ายตั้งแต่ระดับราคา 349,000 บาท ไปจนถึงกว่า 1 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทต้องการให้ลูกค้าทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงแบรนด์ดูคาติได้มากขึ้น
Q : เป้าหมายในปีแรก
สำหรับปีแรก เนื่องจากเราเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา เราตั้งเป้าขายในช่วง 6 เดือนแรกไว้ที่ 250 คันก่อน
ส่วนปีหน้า คาดว่าจะขายไม่น้อยกว่า 500 คัน และจะมีอัตราเติบโต 10-15% ทุกปี อย่างตลาดของภูมิภาคเอเชียนั้น ครึ่งปีแรก 10% เฉพาะในจีนโตถึง 40% และภาพรวมภูมิภาคนี้เป็นตลาดที่มีการเติบโตสูงสุดของดูคาติ
และจากนี้ไปก็คาดว่าไทยจะเป็นกำลังหลักในการสร้างยอดขายให้กับเราด้วย