จุรินทร์ ตั้งฉายา งบประมาณ 67 เป็ดง่อย-นักกู้ถุงเท้าสีชมพู

จุรินทร์

จุรินทร์ อัดรัฐบาล จัดงบฯช้า เพราะเสียเวลาไปตั้งรัฐบาลเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด จนใช้งบฯ 67 ได้แค่ 5 เดือน กลายเป็น “เป็ดง่อย” และกู้เพิ่มมากกว่ายุคลุงตู่แสนล้าน ตั้งฉายา “นักกู้ถุงเท้าสีชมพู”

วันที่ 3 มกราคม 2567 ที่รัฐสภา ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567  วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาท

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ว่า แม้จะไม่ใช่การอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่เรียนว่า พ.ร.บ.งบประมาณรายปีเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าว จะผ่านการพิจารณาวาระแรกได้ เพราะรัฐบาลมีเสียง สส. ในสภาแบบเด็ดขาด ถึง 314 เสียง ถ้าไม่ผ่าน ตนคิดว่านายกรัฐมนตรีต้องเลิกใส่ถุงเท้าสีแดงได้แล้ว

งบฯเป็ดง่อย

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีกล่าวคำแถลงมาทุกอย่างดีหมด ถือเป็นงบประมาณฉบับแรกของรัฐบาลชุดนี้ เกิดจากการเอางบประมาณ ปี’66 ซึ่งเป็นของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯ มารื้อทำใหม่หมด ส่งผลให้ปฏิทินงบฯปีนี้ล่าช้าไปกว่า 9 เดือน เนื่องจากใช้เวลาไปตั้งรัฐบาลเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดอยู่หลายเดือน

แต่หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้รื้องบประมาณดังกล่าว ก็ใช้เวลาอีกหลายเดือนเช่นเดียวกันกว่าจะกลับเข้าสู่สภาได้ ทำให้งบประมาณฉบับนี้ต้องไปบังคับใช้ประมาณเดือนพฤษภาคม จึงส่งผลให้งบประมาณฉบับนี้ เป็นงบฯฉบับเป็ดง่อย เพราะงบประมาณทั้งสิ้น 3.48 ล้านล้านบาท รัฐบาลมีเวลาใช้เงินแค่ 5 เดือน จากปกติ 12 เดือน เท่ากับว่ามีเวลาใช้เงินแค่ 40 เปอร์เซ็นต์

และที่สำคัญคือประสิทธิภาพของการใช้เงิน เรื่องของใช้เงินงบฯลงทุนที่เป็นหัวใจสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มีเพียง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่มีเวลาใช้เพียง 5 เดือน สุดท้ายก็จะเป็นงบฯเป็ดง่อย ไม่สามารถนำไปใช้กระตุ้นเศรษฐกิจได้เต็มร้อย

นักกู้ถุงเท้าสีชมพู

นายจุรินทร์กล่าวว่า นายกฯพยายามตีปี๊บกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ขณะเดียวกันงบประมาณแผ่นดินซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะจะมีผลต่อจีดีพี 18% แล้วถ้างบประมาณแผ่นดินกลายเป็นเป็ดง่อย และที่สำคัญหลังนายกฯสั่งรื้องบฯ ไปมอบนโยบาย 5 ข้อให้ทำงบประมาณใหม่ พอมาวันนี้ไม่มีอะไรใหม่ แล้วมีหลายเรื่องแย่กว่าเดิม มี 4 ประเด็นที่เห็นชัด คือ

ประการที่ 1.งบฯนี้มีการขาดดุล จำนวน 693,000 ล้านบาท และจะขาดดุลต่อไปตลอดอายุของรัฐบาลชุดนี้ ที่ว่า 4 ปีจะขาดดุลตลอดนั้นไม่ได้มโน เพราะฉะนั้นอยู่ในแผนการคลังของรัฐบาลที่ ครม.มีมติไว้เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2566

ประการที่ 2 งบประมาณของรัฐบาลชุดนี้เพิ่มขึ้น แต่สัดส่วนการลงทุนน้อยกว่าเดิม แล้วเอาไปเพิ่มให้งบฯประจำ แล้วแบบนี้จะเอาไปกระตุ้นวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างไร

ประการที่ 3 งบฯกลาง ดูผิวเผินลดลง แต่นั้นมันลวงตา เพราะงบฯกลางรวม ๆ ปี 2566 นั้น 18.5% ของงบฯรวมแต่พอมาปี 2567 ลดลง 17.4% แต่ถ้าไปดูในไส้ในงบประมาณที่เป็นงบฯสำคัญคือ เงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินที่นายกฯและรัฐบาลนี้ บางพรรคที่วิจารณ์รัฐบาลก่อน ๆ ปรากฏว่าแทนที่จะลดกลับกลายเป็นเพิ่ม งบฯปี 2566 จัดไว้ 92,400 ล้านบาท มาปี 2567 จัดเพิ่ม 98,500 ล้านบาท แบบนี้ว่าแต่เขาอิเหนาทำหมด

ประการที่ 4 งบประมาณฉบับนี้เป็นงบฯคิดใหญ่ ทำเป็น แล้วมาเป็นคิดกู้ ทำกู้ เพราะงบประมาณงบฯปี 2567 รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ทำไว้แล้วกู้ที่ 5.93 แสนล้านบาท แต่พอรัฐบาลนี้รื้อใหม่กลายเป็นกู้ 6.93 แสนล้านบาท กู้เพิ่ม 1 แสนล้านบาท ท่านเคยวิจารณ์นักกู้แห่งลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา แต่เที่ยวนี้กลายเป็นนักกู้ถุงเท้าสีชมพู ที่กู้เพิ่ม 1 แสนล้านบาทนั้น ไม่ทราบว่าท่านไปแบ่งเค้กกันอย่างไร

นักโทษเข้าคุกทิพย์

นายจุรินทร์กล่าวอีกว่า สุดท้ายงบประมาณของกระทรวงยุติธรรมและกรมราชทัณฑ์ ซึ่งกรมราชทัณฑ์ได้งบประมาณ 14,972 ล้านบาท งบฯก้อนนี้เอาไปทำโครงการสำคัญที่สุด คือ โครงการผู้ต้องขังได้รับการคุมดูแล ระยะเวลาทำโครงการ 6 ปี ตั้งแต่ปี’65-70 ใช้งบฯรวมทั้งสิ้น 38,979 ล้านบาท เฉพาะงบฯปีนี้ใช้ 6,620 ล้านบาท ยกระดับดูแลผู้ต้องขังให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล หลักสิทธิมนุษยชน โปร่งใสไม่เลือกปฏิบัติ ตนสนับสนุนงบประมาณก้อนนี้เพื่อให้รัฐบาลได้ดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการ

แต่ตนมี 2 คำถาม คือ 1.รัฐบาลในฐานะผู้ใช้งบฯปี 2566 และกำลังของบฯปี 2567 ได้บริหารโครงการตามโครงการอย่างโปร่งใส ไม่เลือกปฏิบัติกับผู้ต้องขัง 280,000 คน แล้วหรือยัง เพราะมีข้อเคลือบแคลงจากสังคมว่าทำไมรัฐบาลปล่อยให้นักโทษบางคนเข้าคุกทิพย์มากว่า 120 วัน แต่ยังไม่เคยติดคุกจริงแม้แต่วันเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อถึงจังหวะนี้ นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.สุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นประท้วงทันทีว่า “ผมไม่คิดว่า นายจุรินทร์จะอภิปราย เพราะที่ผ่านมาเป็นรัฐมนตรีที่ล้มเหลวมาโดยตลอด”

ก่อนที่นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมตัดบทว่า ขอให้ประท้วงอยู่ในประเด็น พร้อมทั้งวินิจฉัยว่า นายจุรินทร์อภิปรายในประเด็น แต่ขออย่าพาดพิงบุคคลภายนอก พร้อมให้อภิปรายต่อ

ทั้งนี้ นายครูมานิตย์กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยที่จะเอาเรื่องข้างนอกเข้ามา ตนรู้ว่าที่กำลังจะพูดถึงนั้นคือ นายทักษิณ ชินวัตร ที่ท่านโดนกลั่นแกล้งไปอยู่เมืองนอกกว่า 17 ปีแล้วกลับเข้ามา แต่ท่านรู้หรือไม่ว่า ทุกครั้งที่ขออนุญาตมีใบรับรองจากอธิบดี

แต่นายชัยชนะ เดชเดโช ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงนายครูมานิตย์ต่อ โดยระบุว่า นายครูมานิตย์ได้กล่าวสิ่งที่เป็นเท็จในสภา ว่า กล่าวหาและเสียดสี นายจุรินทร์ เป็นผู้บริหารราชการที่ล้มเหลว ถือเป็นการใส่ร้ายอย่างร้ายแรง จึงขอให้ถอนคำพูด แต่นายวันมูหะมัดนอร์วินิจฉัยว่า เรื่องนี้เป็นการแสดงความคิดเห็น ที่ไม่ใช่คำหยาบคายใด ๆ อีกทั้งคนฟังสามารถตัดสินเองได้ จึงขอให้นายจุรินทร์อภิปรายต่อ

แนะนายกฯทำให้กระจ่าง

นายจุรินทร์จึงอภิปรายต่อโดยตั้งคำถามว่า 1.ทำไมนายกฯและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้ร่วมบริหารโครงการเหล่านี้ไม่ทำข้อเคลือบแคลงสงสัยที่เอ่ยมาให้กระจ่าง

2.การใช้งบประมาณของกรมราชทัณฑ์ไปออกระเบียบ 6/12/66 หรือระเบียบว่าด้วยการดำเนินสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 อ้างว่าทำตามคำแนะนำของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรื่องนี้การใช้งบฯอาจจะส่อไปในทางไม่ชอบหรือไม่ ซึ่งระเบียบนี้กลายเป็นระเบียบศรีธนญชัย

แทนที่จะแยกผู้ต้องขังที่เป็นผู้บริสุทธิ์ออกจากนักโทษเด็ดขาด กลับไปแยกผู้ต้องขังเด็ดขาดออกเป็นสองมาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ 1 ติดคุกที่เรือนจำ และ 2 ติดคุกที่บ้านได้

“จนมีเสียงวิจารณ์ว่าอาจทำให้คำพิพากษาของศาลไม่มีความหมาย และนักโทษบางคนไปติดคุกเสวยสุขที่บ้านได้ กลายเป็นนักโทษเทวดา แบบนี้ยิ่งจะเป็นการตอกย้ำฉายาเซลส์แมนสแตนด์ชิน ของนายกฯ ให้กลายเป็นผลงานชิ้นโบดำ ติดตัวนายกฯตลอดไป” นายจุรินทร์กล่าว