พลังประชารัฐพรรคแตกยับ คดีการเมือง กับดักประยุทธ์ 2/1

สถานการณ์ในพรรคพลังประชารัฐกำลังลุกเป็นไฟ

 

เมื่อกลุ่มสามมิตร ที่มี “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ-สมศักดิ์ เทพสุทิน” และพรรคพวก ถูกดาวน์เกรดโควตารัฐมนตรี ทั้งที่เป็น “นั่งร้านการเมือง” ให้ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรอบสอง ตั้งแต่ยังไม่มีเงาของ พปชร.

“สมศักดิ์” จากที่จะได้เก้าอี้รัฐมนตรีเกรดเอ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องยอมถอย ยกเก้าอี้ให้กับพรรคประชาธิปัตย์ มี “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์” หัวหน้าพรรคคว้ากระทรวงเกษตรฯ

“สมศักดิ์” กลืนความผิดหวังต้องจำใจไปอยู่กระทรวงยุติธรรมทั้งที่ไม่ได้เลือก

ส่วน “สุริยะ” ที่เป็นประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสาน จากที่เป็นเต็ง 1 นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน แต่ถูกจับสลับกับ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” จากกลุ่ม 4 กุมารที่มีแบ็กคือ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” แม่ทัพเศรษฐกิจรัฐบาล คสช. ไปอยู่กระทรวงอุตสาหกรรม แล้วให้ “สนธิรัตน์” มาคุมพลังงานแทน

ขณะที่ “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย มือทำงานในกลุ่มสามมิตร ลูกน้องคนสนิทสมศักดิ์ ที่เคยมีชื่ออยู่ในตำแหน่ง รมช.คลัง มีเสียวว่าจะหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี หรืออาจข้ามห้วยมาสู่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แทน “พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์” จากโควตากลุ่ม กปปส.ที่อาจจะหลุดเหลือเพียงโฆษกรัฐบาล

นั่นก็ทำให้กลุ่ม กปปส.กับสามมิตร ไม่ลงรอยหนักขึ้นไปอีก ซ้ำเติมข่าวที่กลุ่มสามมิตรไม่พอใจกลุ่ม กปปส.ที่ได้ ส.ส.เข้ามา 11 เก้าอี้ แต่กลับวิ่งล็อบบี้ผู้มีอำนาจ เพื่อรักษาโควตารัฐมนตรี 2 ตำแหน่ง คือ รมว.ศึกษาธิการ และ รมต.ประจำสำนักนายกฯต่อไป ต่างจากสามมิตรที่มี 30 ส.ส.ในมือ

ยังไม่นับกลุ่ม ส.ส.ภาคกลาง ที่ “สุชาติ ชมกลิ่น” ส.ส.ชลบุรี ต้องวืดเก้าอี้ รมว.แรงงาน ช่วงโค้งสุดท้าย โดยมีข่าวให้ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล หัวหน้าพรรครวมพลังประชาชาติไทย จากที่เป็นแคนดิเดต รมว.ต่างประเทศ มานั่ง รมว.แรงงานแทน เพื่อเปิดช่องให้ “ดอน ปรมัตถ์วินัย” รมว.ต่างประเทศ ในยุค คสช.ได้นั่งเก้าอี้ตัวเดิมต่อไป

รวมถึง “เทวัญ ลิปตพัลลภ” หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา ที่เดินเข้าทำเนียบไปกรอกประวัติแล้ว โดยไปเบียดโควตารัฐมนตรีช่วยของกลุ่มสามมิตร ทำให้ “อนุชา” หลุดโผรัฐมนตรี ทั้งที่ชาติพัฒนาได้ ส.ส.แค่ 3 เก้าอี้

สถานการณ์มาถึงจุดที่เกินควบคุม ทุกกลุ่มทุกก๊ก ต่างเข้าถึง-ต่อสายผู้มีบารมีนอกพรรค-ในพรรค เพื่อเคลียร์ปัญหาแต่ไม่ลงตัว ไม่อาจยุติรอยร้าวได้

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้มีบารมีสูงสุดถึงขั้นส่งสาร “ขอโทษประชาชน” ต่อความแตกแยกภายใน พปชร. ความว่า

“นายกรัฐมนตรี มีความรู้สึกไม่สบายใจและต้องขอโทษประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากเวลานี้มีข่าวสารภายในพรรคตามปรากฏตามสื่อมากมาย อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้ว่าจะมีปัญหาอยู่บ้างในการบริหารภายในพรรค เนื่องจากเป็นพรรคที่จัดตั้งขึ้นใหม่ สาขาสมาชิกมาจากหลายกลุ่มหลายสาขา มีความมุ่งมั่น จะทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และหน้าที่บริหารในคณะรัฐมนตรีให้ดีที่สุด”

“การบริหารบุคลากรเป็นเรื่องยากที่ทำให้ทุกคนพึงพอใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือทำอย่างไรให้ประชาชนจะมีความเชื่อมั่นในรัฐบาลและทุกพรรคการเมือง ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านให้มากที่สุด โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชน ในฐานะรัฐบาลของคนไทย ซึ่งจะถือเป็นเรื่องการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อไม่ให้การดำเนินการทางการเมืองกลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิมจนต้องแก้ไขปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก”

“นายกรัฐมนตรีไม่ต้องการตำหนิใครหรือสร้างความขัดแย้งขึ้นมาอีก สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกคน ทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านต้องทำงานให้ได้ เพราะทุกคนคือคนไทย แผ่นดินไทยทุกตารางนิ้วต้องได้รับการดูแลจากรัฐบาลประชาธิปไตยอย่างทั่วถึง เท่าเทียมและเป็นธรรม”

หากคล้อยหลังคำขอโทษของนายกฯไม่ถึง 3 ชั่วโมง กลุ่มสามมิตรนัดโชว์พลัง ส.ส.ในสังกัดราว 30 ชีวิต ภายหลังมีข่าวรั่วจากห้องลับที่ไว้เคลียร์ความแตกแยกใน พปชร. มาถึงหูคนนอกพรรค ว่า ผู้มีบารมีใน พปชร.เรียกแกนนำกลุ่มสามมิตรไปเจรจาสงบศึกในค่ายทหาร พร้อมปรามาสแกนนำกลุ่มสามมิตรว่า มี ส.ส.สวามิภักดิ์ไม่ถึง 10 คน หากยังไม่ยอมสงบศึกให้นำเงินค่าใช้จ่ายเลือกตั้งมาคืน แล้วจะไปไหนก็ไป

“สุริยะ-สมศักดิ์-อนุชา” จึงโชว์พลัง ส.ส. 30 เสียงให้เห็นกันต่อตา นี่จึงเป็นการ “พลิกเกม” โต้กลับของกลุ่มสามมิตร โดยมีเงื่อนไขเดียวที่จะทำให้ 30 เสียงอยู่ต่อคือ.. ต้องคืน 3 เก้าอี้ให้ตามคำสัญญาเดิมเท่านั้น

“กลุ่มสามมิตร” วัดบารมีการเมือง “พล.อ.ประยุทธ์” กันซึ่งๆ หน้า ไม่ให้มาหักหน้าสอยโควตารัฐมนตรีกันง่ายๆ

ขณะที่ “สนธิรัตน์” ต้องยอมถอยในชั่วโมงสุดท้าย ออกมาแสดงความเสียใจว่าไม่มีส่วนในการเลือกกระทรวง และไม่ขอรับตำแหน่ง รมว.พลังงาน

เพื่อ “เปิดทางถอย” บนกระดานให้ “พล.อ.ประยุทธ์” ตัดสินใจ – ไม่ปล่อยให้โชว์ภาวะผู้นำกระโดดลงมาหย่าศึก ทั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นคำขาดมาจากโตเกียวแล้วว่าจะไม่ยอมถอยเรื่องเก้าอี้

สุดท้าย “พล.อ.ประยุทธ์” อาจต้องอ้างงัดไม้เด็ด “ข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้” และ “ข้อต่อรองเรื่องคดีที่ยังไม่ถึงที่สุด” ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีกครั้ง

รัฐบาลประยุทธ์ 2/1 ยังขึ้นอยู่กับคำขู่ของ 30 เสียง ในพรรคพลังประชารัฐ