ครม.ประยุทธ์ ในวิกฤตการเมือง “พรรคพลังประชารัฐ” แพแตก

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หลังพิงฝา-เผชิญหน้ามรสุมรอบด้าน “พายุลูกใหญ่” มหันตภัยโรคระบาดโควิด-19 ที่มาพร้อมกับวิกฤตเศรษฐกิจ-วิกฤตการเมือง และศึกในพรรค-ศึกนอกพรรค และ “ลูกติดพัน” จากการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ข้อทักท้วง-ทึกทัก เลิก-ไม่เลิก พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ยุบ-ไม่ยุบ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ดังกระหึ่มในช่วงตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดอยู่ในช่วง “ขาลง”

ไม่ว่าจะเลิก-ไม่เลิก ยุบ-ไม่ยุบ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ย่อมรับดาบสองคมคมแรก เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ยุบ ศบค. พล.อ.ประยุทธ์จะกลายร่างเป็น “ยักษ์ไม่มีกระบอง” เพราะอำนาจพิเศษ-กฎหมายเกือบ 40 ฉบับจะถูกโอนกลับคืนไปให้รัฐมนตรี-พรรคร่วมรัฐบาล

คมสอง ไม่เลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน-ไม่ยุบ ศบค. จะเป็นอุปสรรคต่อ “โรดแมปเปิดประเทศ” เพราะ “ติดหล่ม” อยู่กับกลไกฉุกเฉิน-อำนาจพิเศษ ไม่สามารถเปลี่ยนผ่านใช้ชีวิตร่วมกับโควิด-19 ได้

มิหนำซ้ำต้องถูกตั้งคำถาม-ข้อกังขา ถึงเหตุผลในการประกาศใช้ “กำปั้นเหล็ก” พ.ร.ก.ฉุกเฉิน สำหรับปราบ-ปราม “ม็อบการเมือง” จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยผ่านแยกราชประสงค์ ทะลุอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ-ดินแดง กลายเป็นวิกฤตการเมือง

รวมกับวิกฤตเศรษฐกิจ-ปากท้อง ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำสุดในรอบ 22 ปี 11 เดือน ทำให้ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์” ต้องเผชิญกับ “วิกฤตซ้อนวิกฤต” เป็นพายุใหญ่ 3 ลูก

ซ้ำร้ายไปกว่านั้นจับเส้นเสียงของ “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ทิ้งปริศนา “อย่าไปคิดว่าเรื่องยุบ ศบค.เป็นเรื่องใหญ่ จะต้องยุบหรือไม่ยุบ เพราะไม่ใช่ว่ายุบไปแล้วจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจจะมีและใหญ่กว่า ศบค.ด้วยก็เป็นได้”

ขณะที่ศึกในพรรคพลังประชารัฐยังคง “คุกรุ่น-ฝุ่นตลบ” จาก “ควันหลง” การอภิปรายไม่ไว้วางใจ และ “อาฟเตอร์ช็อก” จาก “ผลโหวต” พล.อ.ประยุทธ์ “ไม่ไว้วางใจสูงสุด” และคะแนนไว้วางใจ “รองบ๊วย”

ชนวนเหตุถูกขยายความขัดแย้งจากความแตกแยก-ดังแล้วแยกวงของกลุ่ม 4 ช. ได้แก่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์-เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ อดีต รมช.แรงงาน-เหรัญญิกพรรค

นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง-ผู้อำนวยการพรรค และ นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม-บุตรชายนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล

“ธรรมนัสเอฟเฟ็กต์” ยังคงสร้าง “แรงกระเพื่อม” และรอจังหวะเขย่าบัลลังก์ 3 ป. ป้อม-ป๊อก-ประยุทธ์อีกครั้ง

กระแสข่าว “ย้ายพรรค” จากที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ อาคารรัชดา วัน ถนนรัชดาภิเษก ที่มีชื่อของ “สันติ พร้อมพัฒน์” รองหัวหน้าพรรค-ผู้อำนวยการพรรคเป็น “เจ้าที่”

หากย้ายที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นการ “ย้ายแห่งที่ 3” แห่งแรก คือ อาคารปานศรี ถนนรัชดาฯ เป็นยุค “ทีมสมคิด” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์-กลุ่ม 4 กุมาร ยังเป็นกลุ่มอำนาจนำในพรรค

เป็นการ “วัดกำลัง” ภาคต่อระหว่าง “ร.อ.ธรรมนัส” กับ “สันติ” ยกที่ 2 ต้อง “วัดใจ” ส.ส.พปชร. 122 ชีวิตจะเลือกข้างใด แต่ขณะนี้เลขาฯ-เหรัญญิกอาจถูกปรับพ้นจากตำแหน่ง

ส่วนศึกนอกพรรค “คาบลูกคาบดอก” กับศึกในพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ เพราะเป็น “เงื่อนไข” ร่วมรัฐบาลคือ การลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3-แก้กติกาเลือกตั้ง “บัตร 2 ใบ”

ไม่ว่าการโหวตแก้รัฐธรรมนูญ “บัตร 2 ใบ” จะ “ผ่านฉลุย” หรือ “คว่ำไม่เป็นท่า” จะสะท้อนสมการอำนาจ-กำลังภายในของแต่ละฝ่ายว่าใครเป็นผู้มีบารมี-ผู้มีอิทธิฤทธิ์ และเป็น “ผู้กำหนดเกม”

ขณะที่ศึกนอกพรรค ผลพวงจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นแกนนำ เตรียม “เช็กบิล” พล.อ.ประยุทธ์ยื่นตรวจสอบต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 5 เรื่องประกอบด้วย

1.เรื่องการจัดซื้อวัคซีนซิโนแวค 2.การที่นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจในการแทรกแซง หรือล้มกระบวนการจัดซื้อชุดตรวจ ATK เป็นการประพฤติมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 3.เรื่องยางพารา และ 4.การทุจริตในกองทัพอากาศ

ทว่า การ “แย่งซีน” ของ “วิสาร เตชะธีราวัฒน์” ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทยที่ลุกขึ้นแฉกลางสภา-ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ เรื่อง “ถุงขนม” 5 ล้านบาท กลายเป็น “วิบากกรรม” พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้อง “ล้างมลทิน” ให้ขาวสะอาด

โดยนายชวนได้ออกคำสั่งสภาผู้แทนราษฎร ที่ 22/2564 แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีนางพรพิศ เพชรเจริญ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน โดยให้ตรวจสอบ รวบรวมพยาน-หลักฐานให้เสร็จ-ขีดเส้นภายใน 30 วัน

ขณะเดียวกัน พรรคฝ่ายค้านจะรวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมยื่นต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร และอาจยื่นต่อคณะกรรมการจริยธรรม ที่มีนายชวนเป็นประธานด้วย ต่อด้วยการจะยื่นต่อ ป.ป.ช.และศาลรัฐธรรมนูญต้นเดือนตุลาคม

รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ต้องฝ่าพายุ 3 ลูกใหญ่-วิกฤตซ้อนวิกฤต วิกฤตโควิด-วิกฤตเศรษฐกิจ-วิกฤตการเมือง และศึกใน-ศึกนอก