ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันทึ่ 4 มิ.ย.2562 อนุมัติโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ) ระยะทาง 16.18 กม. เงินลงทุน 3,930 ล้านบาท แบ่งเป็นฝั่งไทย 2,630 ล้านบาท (ค่าก่อสร้าง 2,553 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้าง 77 ล้านบาท) และฝั่งลาว 1,300 ล้านบาท (งานสะพาน 490 ล้านบาท และค่างานถนนและด่านพรมแดน 810 ล้านบาท)
โดยอนุมัติการจัดทำและลงนามร่างความตกลง (MOU) ระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยและรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ว่าด้วยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 5 (บึงกาฬ-บอลิคำไซ)
- ลูกแม่ค้าขายผัก-พ่อขับแท็กซี่ สู่เก้าอี้ “ปลัดพลังงาน” บทพิสูจน์ชีวิต “ดร.ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ”
- เปิด 10 อันดับมหาวิทยาลัยรัฐ-ราชภัฏ-เอกชน ที่ได้รับความนิยมมากสุด
- นักท่องเที่ยวเข้าต่ำแสน หวั่นโลว์ซีซั่นทรุดหนัก ททท.ชี้กระทบสั้นยอดบุ๊กกิ้งแอร์ไลน์แน่น
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้ที่ได้รับมอบหมายเป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องตามความตกลงดังกล่าว
และให้กระทรวงการต่างประเทศ จัดทำหนังสือมอบอำนาจเต็ม (Full Powers) ให้แก่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม หรือผู้แทน สำหรับการลงนามดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กระทรวงคมนาคมยังไม่มีกำหนดเวลาที่จะลงนามในร่าง MOU
ส่วนกรมทางหลวง (ทล.) ได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณประจําปี 2562 สำหรับดำเนินการก่อสร้างโครงการ แต่ยังไม่ได้รับการจัดสรรงบประมาณ สำหรับค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งหมดในฝั่งไทยจำนวน 400 ล้านบาท กรมทางหลวงได้รับการจัดสรรงบประมาณประจำปี 2560-2561 แล้ว จำนวน 250 ล้านบาท และอยู่ระหว่างขอรับการจัดสรรเงินงบประมาณในส่วนที่เหลือ
ในส่วนของ สปป.ลาว ได้มีหนังสือแจ้งความประสงค์ขอกู้เงินไปยังสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) (สพพ.) แล้ว โดย สพพ.จะดำเนินการเจรจาต่อรองเงื่อนไขการให้กู้เงินกับ สปป.ลาว ตามระเบียบต่อไป
นอกจากนี้ การประชุมหารือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 18 เม.ย. โดยมีผู้แทนจากกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณร่วมประชุม ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี วงเงิน 2,630 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างที่ฝ่ายไทยต้องรับผิดชอบ ได้แก่ ค่าก่อสร้าง จำนวน 2,553 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้าง จำนวน 77 ล้านบาท หลังก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังและสำนักงบประมาณมีความเห็นไม่ตรงกันในเรื่องแหล่งที่มาของเงินงบประมาณ